กราบหัวใจแข้ง “หงส์”

กราบหัวใจแข้ง “หงส์”

เป็นเกมรอบชิงที่ผลาญพลังงานสุดๆระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี แต่ในอีกแง่มุมนึงมันทำให้เกิดการเปรียบเทียบถึงหัวจิตหัวใจของทั้ง 2 ทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“หงส์แดง” เป็นรองตั้งแต่ยังไม่แข่งเมื่อแข้งซีเนียร์เจ็บมากถึง 11 ตัว ส่งผลทำให้รายชื่อสำรอง 5 คนเป็นเด็กเยาวชนที่ถูกเรียกตัวมาด่วนแถมที่เหลือเป็นกองหลังอีก 3 ประตูอีก 1

เรียกว่าถ้าเจอปัญหาหน้างานเรียกพนักงานเช็กบิลเลยครับ แก้เกมปรับแท็คติกส์ไม่ได้อยู่ละเพราะมันมีแค่นี้จริงๆ !!

ซ้ำร้ายถูกคั่นรอบชิงด้วยเกมพรีเมียร์ลีกกับ ลูตัน ทาว์น เมื่อ 3 วันก่อนให้เหนื่อยเล่นอีก

อย่างไรก็ตามฝั่ง เชลซี แม้จะเจ็บไม่แพ้กันแต่ line up และที่ม้านั่งสำรองดีกว่าบานเบอะ สภาพสดจากฟาร์มพักมาเยอะกว่าร่วมอาทิตย์

การเปลี่ยนตัวเอา มูดรีค, มาดูเอเก้ หรือ เอ็นคุนคู ลงสนามมันคนละเรื่องเมื่อฝั่ง “หงส์” เอา บ็อบบี้ คล้าร์ก, แม็คคอนเนลล์ และ แดนส์ ลงมาแบบจำใจเพราะพี่ๆกรอบกันหมดแล้ว

และเราต้องไม่ลืมว่า ไรอัน กราเฟนแบร์ค โดน ไคเซโด้ เหยียบข้อเท้าแทบหัก (และไม่มีแม้กระทั่งใบเหลือง) ตั้งแต่นาทีที่ 28 คนที่ลงมาแทนก็เป็น โจ โกเมซ

เหตุการณ์ต่างๆพวกนี้ฟังดูไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับว่า “สิงห์บลู” ไม่สามารถเอาชนะได้หรืออย่างน้อยๆก็ต้องแสดงออกมากกว่านี้

ซึ่งผมเองก็เข้าใจอารมณ์ครุกรุ่นของแฟนบอลเมื่อต้องมาฝั่งตรงข้ามในสภาพพิการโดยยังสู้ไม่สุดพอ (ในความรู้สึก)

ด้วยรูปแบบที่ “พอช” ยึดติดไม่ยืดหยุ่น กล่าวคือใช้วิธีเหมือนที่เล่นกับ แมนฯซิตี้ ในการรับและใช้นักเตะเร็วๆวิ่งแข่ง high line

แต่ข้อได้เปรียบหลายๆอย่าง เชลซี ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ซ้ำร้ายเล่นๆไปดูเหมือนผ่อนเกมไปแนวๆเล่นรับและทำท่าจะไปขอวัดจุดโทษซะอย่างงั้น

แม้อีกมุมผมกลับเห็นใจพอชที่มีบ่นๆว่าลูกทีมควร clinical หรือ “คม” มากกว่านี้ในจังหวะจะแจ้งที่เกมนี้มีมากกว่า “หงส์” ค่อนข้างชัดเจน (5-6 ครั้ง)

ไม่ว่าลูกยิงจ่อๆ 3-4 หลาของ พัลเมอร์ ในครึ่งแรกแต่ติดเซฟ เคลเลเฮอร์ ชนิดมหัศจรรย์ (อารมณ์น้องๆ ดูเด็ค เซฟลูกยิง เชฟเชนโก้ ที่อิสตับบลู)

2 ช็อตเด่นๆใน 9 นาที ของ กัลลาเกอร์ ทั้งลูกสะกิดชนเสา (นาที 76) และหลุดเดี่ยวล่อเป้า (นาที 90)

ไม่นับครึ่งแรกลูกยิงของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ VAR จับล้ำหน้าเส้นยาแดงผ่าแปด

ทั้งหมดทั้งมวลคือโอกาสที่เชื่อว่า พอช ขอเม็ดเดียว “หงส์” คงหมดแรงที่จะบี้เอาคืนแน่ๆ

ผมเห็นใจแฟน เชลซี นะ คือต้องทนทุกข์กับทัศนะคติในการทำทีมของ “พอช” และเชื่อว่าหลายคนด้วยที่ respect เยอร์เก้น คล็อปป์ กับหัวจิตหัวใจนักเตะของ ลิเวอร์พูล เมื่อเอาเหตุการณ์หลายๆอย่างมาติดปะต่อ

แดนกลาง ลิเวอร์พูล ในท้ายครึ่งหลังและช่วงต่อเวลาพิเศษเหลือแค่ เอนโด ที่รายล้อมไปด้วยดาวรุ่งอย่าง คล้าก หรือ แม็คคอเนลล์

แข้งซามูไรอัดทุกอย่างเท่าที่มี เป็นหัวใจแบกทุกๆอย่างในแดนกลางยามที่ไม่มีคู่หูอย่าง แม็ค อัลลิสเตอร์ จนกระทั่ง JK นิยามว่าไม่เคยเห็นใครขาแกร่งเท่านี้มาก่อน

แต่ล่าสุดใช้ไม้เท้าเดินกันไปอีกคน รวมแล้วตอนนี้เจ็บเพิ่มเป็น 13 ต่อจาก “กราฟ” มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม

หลุยส์ ดิอาซ รับจบแดนบนตลอดทั้งเกม (เพราะไม่มีใครแล้ว) ก่อน “หัวตกหลอดแดง” และออกแนวเดินในช่วงต่อเวลาแถมมีช็อตนึงถลกกางเกงจับต้นขาให้เราใจเสียไปอีกคน

ควีวิน เคลเลเฮอร์ งัดตำราเซฟนับไม่ถ้วนโดยหนึ่งในนั้น แกรี่ เนวิลล์ ยกย่องลูกเซฟจ่อๆของ พัลเมอร์ เข้าขั้น world class

เป็นจุดสำคัญยื้อสกอร์จนกระทั่ง VvD โขกพังประตูชัยในนาที 118 นั่นคือช่วงพีคสุดของเกมที่ทำให้ “หงส์แดง” คว้าแชมป์ถ้วยเล็กสุดเป็นสมัยที่ 10

ท้ายที่สุดผมขอสดุดี เชลซี ที่ทำให้เกมนี้เปิดสู้แลกกันได้สนุกอีกนัดนึง เป็นคู่ต่อกรที่เจอกันบ่อยแต่ไม่เคยง่ายเลยจริงๆผับผ่าสิ

ในฐานะ “เดอะ ค็อป” ไม่อวยก็ต้องอวยเพราะผมเชื่อว่ามีไม่กี่ทีมหรืออาจจะไม่มีเลยหากต้องมาอยู่ในสถานการณ์อย่างที่ ลิเวอร์พูล เจออยู่แล้วก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้

นี่คือแชมป์ที่พิเศษเอามากๆเมื่อมองจากการที่นักเตะแลกมาด้วยหัวจิตหัวใจมอบให้ทั้งแฟนบอลและเป็นของขวัญสั่งลาชิ้นแรกจาก 4 รายการให้ JK

ขอบคุณจากใจจริงครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่ 10 มากที่สุดเหนือทุกทีมโดย 2 ครั้งมาจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ มีเพียง บ็อบ เพลสลีย์ (3) เท่านั้นที่ทำได้มากกว่า The normal one

ลูกโหม่งในนาที 118 ของ เวอร์กิล ฟาน ไดจค์ เป็นประตูท้ายเกมมากที่สุดในลีก คัพรอบชิงนับตั้งแต่ ไบรอัน ลิตเติ้ล ยิงให้ แอสตัน วิลล่า เมื่อปี 1977 (119 พบ เอฟเวอร์ตัน)

แม้โดนล่อเป้าหนักถึง 13 ครั้ง และค่าเฉลี่ยนเข้ากรอบมากถึง 3.9 xg แต่ควีวิน เคลเลเฮอร์ ไม่เสียประตูเลยตลอดการลงเล่นรอบชิง 2 เกมให้ ลิเวอร์พูล (เจอ เชลซี ทั้ง 2 เกม)

เจย์เดน แดนนส์ (18), บ็อบบี้ คล้าก (19) และ เจมส์ แม็คคอนเนลล์ (19) ต่างมีชื่อลงเล่นรอบชิงให้ ลิเวอร์พูล ซึ่งนับเป็นดาวรุ่งวัยกระเตาะที่ลงเล่นรอบชิงลีกคัพมากที่สุดนับตั้งแต่ อาร์เซนอล ทำไว้เมื่อปี 2007 (4 คน – วัลค็อตต์, ฟาเบรกัส, เดนิลสัน และ ตราโอเร่)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด