วูลฟ์ อร่อยให้ 6 ผีกระดกให้ 10
หากใครอยากเห็น แมนฯยูฯ โฉมใหม่คงต้องรอไปอีกซักพักนึงเพราะเท่าที่ดูจากนัดเปิดสนามยังห่างไกลจากที่ เอริค เทน ฮาก และแฟนบอลคาดหวังไว้เยอะ
จากที่ก่อนเริ่มเกม “เร้ดอาร์มี่” ขอต่ำๆ 2-3 เม็ดก่อนได้ชัยชนะชนิดสิวขึ้นหน้าฝ้าขึ้นหลัง 1-0 แถมได้มาจากกองหลังอย่าง ราฟาเอล วาราน ในนาที 76
ชั่วโมงนี้ต้องเอาไว้ก่อนแล้วล่ะครับเพราะไม่แพ้คาบ้านก็บุญสุดๆแล้ว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้มาเยือนอย่าง วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่พูดได้เต็มปากว่า “ขโมยซีน” เล่นดีเหลือรับประทาน
แต่ด้วยความเป็น “หมาป่า” จึงมี signature หรือกลิ่นที่ติดตัว (และล้างออกไม่ได้ซักที) มาหลายปีนั่นคือการจบสกอร์ที่ “พังพินาศ” สุดๆ
มันเข้ากับวลีมีนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัว “เวิร์ลดคลาส” แต่ยิงประตู “เวิร์ดแก้ส”
ใครได้ชมเกมนี้ผมเชื่อว่าต้องอุทานไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้งกับการกระชากบอลจากหน้ากรอบเขตโทษตัวเองทะลุเป็นวินนิ่งของ มาธิอัส คุนญ่า
การคอมโบ้ช่วยกันทั้งรุกและรับของ “เสี่ย” มาธิอัส นูเนส , เลมิน่า หรือแม้กระทั่ง เนโต้ ที่เทคนิคจัดจ้านโคตรๆ
พูดก็พูดคือทั้งทีมแทบไม่มีคนไหนล่กหรือเป็นจุดอ่อนเลยโดยส่วนตัวนอกจากตัวปังๆที่กล่าวมาแล้วผมชอบ รายยาน เอท-นูริ แบ็คซ้ายที่ฉายแววมาแล้ว 1-2 ฤดูกาล แอบงงอยู่ว่าจนถึงตอนนี้รอดพ้นมือทีมใหญ่มาได้อย่างไร
เกมนี้ ETH จัด line up ตัวรุก 5 ตัวกะฟันหัวแบะแต่กลายเป็นว่าแดนกลางของ “ปีศาจแดง” โดนกระชากเป็นกรวยทะลุถึงคู่เซนเตอร์อย่างรวดเร็ว
โดย 2 มิดฟิลด์คู่กลางในระบบ 4-2-3-1 ทั้ง คาเซมิโร่ หลุดฟอร์มและ เมสัน เมาท์ ไม่มีผลงานจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันจนก่อนถูกเปลี่ยนออกในนาที 68
เจ้าหนู การ์นาโช่ เป็นอีกคนที่ออกทะเลและผิดฟอร์มไปเยอะมากถ้าเทียบกับปรีซีซั่น
ที่ทำให้งานของ ยูไนเต็ด ยากเข้าไปอีกคือ วูลฟ์ เล่นแบบคุมโซนสไตล์ถนัด เจอความหนาแน่นของประชากรไม่พอยังต้องเสียเปรียบกับ “physical” ที่แรงและความใหญ่การเข้าปะทะผิดกัน
ช่วงซัมเมอร์ผมก็นึกว่า “หมาป่า” น่าจะดาว์นเกรดลงมาพอสมควรเนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเงินจนแยกทางกับ โลเปกี และต้องเสียเพลย์เมคเกอร์ตัวเก่งอย่าง รูเบน เนเวส แถมปล่อยฟรี อดาม่า ตราโอเร่ ไปอีก
แต่ทรงบอลความเป็นโปรตุกีสตั้งแต่สมัย นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ยังไม่หายไปไหน
การได้ แกรี่ โอนีลล์ ที่ บอร์นมัธ ไม่เห็นค่า (ทั้งๆที่พาทีมรอดตกชั้น) ซึ่งพื้นเพชอบเล่นบอลบนพื้่นและตั้งจากหลังขึ้นมาตั้งแต่คุม “เดอะ เชอร์รี่ส์” น่าจะดีกว่านี้อีกได้
เหลือเรื่องเดียวที่น่าห่วงคือยิงประตูนี่แหละครับ ซีซั่นก่อนยิงน้อยสุดในลีก 31 ลูก เฉลี่ยนัดนึงไม่ถึงลูก ถือว่าน่าเกลียดสุดๆ
หวังว่าการได้ ซาซ่า คาลัดจ์ซิช กองหน้าที่สูงถึง 2 เมตรหายเจ็บ ACL คัมแบ็คลงสนามสำรองที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เข้ามาช่วยกอบกู้ปัญหาตรงนี้
ช่วงเวลาหวาดเสียวใจหายใจคว่ำของ “ปีศาจแดง” มีเยอะแยะมากมายไปหมดไม่ว่าจะครึ่งแรกที่โดนโต้เกือบเป็นประตู 2 หนและครึ่งหลังลูกยิงเผาขนชนเสาของ คุนญ่า
รวมถึงช็อตท้ายเกมที่เร้ดอาร์มี่เกือบผ้าป่าคว่ำจากจังหวะที่ โอนาน่า ผู้รักษาประตูกระโดดคว้า+ฟาดหัว คาลัดจ์ซิช ซึ่ง แกรี่ เนวิลล์ มองว่าควรเป็นจุดโทษ
แต่ผมเห็นต่างตรงที่ว่าความโชคดีของ แมนฯยูฯ และ โอนาน่า มากกว่าที่เพลย์นี้เกิดขึ้นหลัง คาลัดจ์ซิช โหม่งออกไปแล้วมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ผู้ตัดสินเลือกที่จะไม่ดู VAR
จากหลายๆเหตุการณ์และ วูลฟ์ สุดเขี้ยวเล่นดีกว่าด้วยแล้ว จึงเป็น 3 แต้มที่เหมือนแม่ค้าเอาแบ้งค์ร้อยตบหัวประเดิมเอาฤกษ์เอาชัยไปก่อน เรื่องอื่นไว้ว่ากันครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ ชนะพรีเมียร์ลีกในบ้านติดต่อกัน 7 เกมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017
ราฟาเอล วาราน ทำประตูแรกในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก 26 นัดหลังนับตั้งแต่ซํด เบรนท์ฟอร์ด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2022
อารอน วาน บิสซาก้า ยุติการลงเล่น 40 นัดโดยไม่มีส่วนร่วมกับประตูนับตั้งแต่แอสซิสต์ในเกมพบ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนพฤษภาคม 2021
การหาโอกาสยิง 23 หนในศึกมันเดย์ไนท์ของ วูลฟ์ ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่บุกมาล่อเป้าที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 (นับตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04)
รองจาก เชลซี (25 ครั้ง) ในเดือนพฤศจิกายน 2005 ที่วันนั้น “สิงห์” พ่ายแพ้ด้วยสกอร์เดียวกับ วูลฟ์ 1-0
นอกจากนี้ “หมาป่า” ไม่ชนะเกมเยือน 9 นัดติดต่อกันแถม 5 นัดหลังสุดแพ้รวด เป็นสถิติแพ้ติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011
นับตั้งแต่เริ่มซีซั่น 2020-21 เป็นต้นมา วูลฟ์ ไม่สามารถทำประตูในพรีเมียร์ลีกรวมแล้วถึง 45 เกมเลยทีเดียว มากกว่าทุกๆทีมไปแล้ว
ที่มา: soccersuck