อาการ “แบตหมด” เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อวานหลังผมได้อ่านและซึมซับบทสัมภาษณ์ของเยอร์เก้น คล็อปป์ ถามว่าความรู้สึกจริงๆแล้วผมกลับนึกถึงตัวเองว่ะครับ!!

Passion ที่มีกับการทำงาน ใส่หมดแม็กเต็มแม็ก พอถึงจุดๆนึงมันเหมือนทอม แฮงค์ในหนังเรื่อง Forest gump ที่วิ่งรอบอเมริกาด้วยพลังงานที่เหลือล้น

จนกระทั่งจู่ๆกลับหยุดวิ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “ผมเหนื่อยแล้ว”

เลิกง่ายๆงี้เลย…

ท่อนนึงในการให้สัมภาษณ์ JK บอกว่าครั้งนึงเคยคิดว่าพักร้อนตอนปิดฤดูกาลซัก 3-4 วีคก็เหลือๆแต่เอาจริงๆตอนนี้แกรู้สึกว่ามันไม่พอ

แน่นอนครับอาการแบบนี้คืออยากใช้ชีวิตอิสระ ชีวิตที่ไม่ต้องแบกความกดดัน ตื่นโดยไม่ต้องตั้งปลุก มีเงินกองท่วมหัวก็อยากใช้ให้คุ้มกับที่หามาได้

ครับ สำหรับตัวผมเองทำเว็บ SoccerSuck มาตั้งแต่ปี 2000 และขายในปี 2020 แต่ในความเป็นจริงผมเริ่มมีความรู้สึก running out of energy ประมาณปี 2018 (น่าจะหรืออาจจะก่อนหน้านั้น)

อาการ “แบตหมด” มันไม่มีปฏิทินตายตัว บทมันจะแว่บขึ้นมาก็มาแบบไม่บอกกล่าว

ดังเช่นตอนที่ JK บอกว่าในระหว่างประชุมเรื่องการเตรียมพร้อมสำหรับซีซั่นใหม่ทั้งการซื้อนักเตะ, สถานที่เก็บตัวเข้าแคมป์

ปกติแกจะเป็น leading ในการนำเสนอเรื่องแผนพวกนี้ พอจู่ๆความรู้สึก “เอ๊ะ” เราจะอยู่ต่อหรือเปล่ายังไม่รู้ นั่นแหละครับความรู้สึกมันโผล่มาโดยที่เราเองยังไม่รู้ตัวเลย

ช่วงที่ลุยงานหนักๆผมนอนน้อยมาก เคยนั่งอยู่หน้าคอมตั้งแต่ 3-4 ทุ่มยันเที่ยงของอีกวัน รวมๆก็ 13-14 ชั่วโมงโดยที่พ่อแม่พี่น้องนอนไปแล้วตื่นมาแล้วผมยังไม่นอนเลย

เคยแม้กระทั่งจะอาบน้ำแต่ง่วงมากเลยของีบหน้าห้องน้ำซักแป๊บโดยเอาผ้าเช็ดตัวมาปั้นๆให้เป็นหมอน

ตอนนั้นทุกคนเขาเป็นห่วงว่าร่างกายผมจะไม่ไหว แม่ถึงกับต้องเอาข้าวเอาน้ำมาเสริฟเพราะผมลืมกิน

ด้วยความที่ต้องนั่งทำงานคนเดียว ไม่มีทีมงานผมจึงต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

และไม่ใช่แค่เว็บ ตอนนั้นผมมีงานประจำ นอนไม่เคยเต็มอิ่ม บางวันนอนตี 1ตั้งปลุกตี 4 เพื่อมาอัพสกอร์ผลการแข่งขัน อัพเสร็จขึ้นมานอนต่อ ตีห้าครึ่งอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงาน

ประเด็นคือผมไม่เหนื่อยไม่ล้า เริ่มทำเว็บตอนอายุ 25 ร่างกายแม่งสดมาก เคยห้าวจัดนอนแค่ 3 ชั่วโมง (นอน 6 โมงเช้าตื่น 9 โมงนิดๆ) เพื่อไปเตะบอลกับพวกที่ทำเว็บด้วยกัน

แถมเตะช่วง 10 โมง แดดกำลังเริ่มมา!!

ตอนกำลังจะออกจากบ้าน แม่ตะโกนโวยวายใหญ่ เขารู้ว่าผมเพิ่งขึ้นไปนอน กลัวตายคาสนาม

การทำงานในลักษณะนี้เรื่องการไปเที่ยวต่างจังหวัดแบบค้างคืนไม่ต้องคิดครับ

ปีๆนึงผมค้างซักคืนแม่งก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว ตอนนั้นไม่อยากเที่ยวด้วยครับ เป็นห่วงงานเป็นห่วงเว็บ

ครั้งนึงตอนปีใหม่ ที่บ้านยกกันไปเที่ยวเชียงใหม่ ผมขอนั่งทำเว็บที่บ้าน คิดแค่ว่าถ้าไม่อัพเดทข่าวหรือไม่ทำอะไรก็กลัวคนจะไม่เข้าอีกแล้วหนีไปเข้าคู่แข่ง (ที่เงินหนากว่ามีทีมงานเป็นกะ)

วินาทีสุดท้ายแม่โผล่หน้ามาที่ประตูก่อนพูดทีเล่นทีจริงว่า “เปลี่ยนใจยังทันนะ เขารอกันอยู่”

ผมยืนยันคำเดิม ปัจจุบันผมชอบคิดถึงเหตุการณ์นี้ว่าถ้าย้อนเวลาได้ผมจะรีบเก็บกระเป๋าขอไปด้วยเพราะปัจจุบันพ่อแม่แก่มากแล้ว เราชวนไปไหนเขาก็ไม่มีแพสชั่นอยากไปไหน

แม้กระทั่งอายุ 40 ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองหมดพลังอะไรนะเพราะขึ้นที่สูงแล้วต้องไปต่อ

จุดเปลี่ยนจริงๆคือมันสะสมหลายเรื่อง ไม่ใช่อายุหรือไฟที่มอดนะแต่เป็นความรู้สึกจากข้างในที่ได้เห็นสัจจะธรรมชีวิต

หัวหน้าและพี่ที่สนิทในที่ทำงานตายปีต่อปี จากไปในขณะที่อายุยังไม่มากแต่ไปในระหว่างที่ยังทำงานใช้หนี้

ผ่านมาไม่กี่เดือนเพื่อนรักที่เรียนมาตั้งแต่ม.ปลาย สนิทที่สุดก็มาด่วนจากไปอีกด้วยการฆ่าตัวตาย

ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอยากมีจุดจบชีวิตแบบไหน นั่งทำงานไปเรื่อยๆให้ตัวเองแก่แล้วก็นอนติดเตียง นอนรำลึกถึงอดีตที่ผ่านๆมา

รำลึกอะไรวะ รำลึกการทำงานหน้าคอมงี้เหรอ

ผมมารู้ตัวอีกทีว่าโลกแม่งกว้างก็ตอนได้เริ่มเดินทางไกล ขึ้นเขา, ดำน้ำ ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองไม่เคยได้ใช้มาก่อน

คนมันไม่เคยได้เที่ยวไม่เคยได้ใช้ชีวิตอะไรแบบนี้ พอสัมผัสครั้งสองครั้งใจมันหลุดไปอีกโลกนึงเลย

ผมแบกเป้เที่ยวคนเดียวขึ้นเหนือล่องใต้ฉีกออกอีสาน เคยแม้กระทั่งอยู่ในสถานที่นั้นคนเดียวเหมือนเราเป็นเจ้าของที่ สวรรค์บนดินจริงๆ

การหลงใหลการถ่ายรูปก่อนที่จะงอกตามมาเป็นโกโปรและโดรน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีของเล่นใหม่อยู่ในโลกใบใหม่ในวัย 40 กลางๆ (และตอนนี้ใกล้เลข 5)

วันที่ขายเว็บ ผมรู้สึก “โล่ง” ใจไม่ต่างจากความรู้สึก “โล่ง” ของ JK ที่ได้ประกาศลาออกหลังจบฤดูกาล ความรู้สึกเดียวกัน (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง)

การเอาของหนักๆลงจากบ่ามันเบาจริงๆครับ ก้าวต่อไปที่ย่างเดินมันช่างสบายใจไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง

เงินที่ได้มาถ้าบริหารดีๆไม่ฟุ้งเฟ้อก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องดิ้นรนทำงานจนกระทั่งวันตาย

แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ทิ้งงานเขียน ผมสร้างเพจ

Benfreekick

ขึ้นมาก่อนขายเว็บไม่กี่เดือนเพราะตอนนั้นผมคิดว่าขายแล้วผมอยากมีที่เอาไว้สื่อสารกับคนจาก SS ที่ผมรู้จัก

จุดประสงค์อีกอย่างของการสร้างเพจนี้เพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในหัว ผมเป็นคนยุค 90 ที่ช่วงนั้นการเขียนไดอารี่คือการสื่อสารกับตัวเองที่ดีที่สุดซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่เขียนให้คนอื่นรับรู้ ฮาาา

บังเอิญแคแรคเตอร์ผมเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงไม่ค่อยพูดดังนั้นสิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิตผมคือการเขียนเท่านั้น พอได้ทำอะไรที่มันไม่ต้องมีตารางหรือเงื่อนไขมาผูกมัด อยากเขียนวันไหนก็เขียนเป็นความสุขความสบายใจจริงๆ

วันไหนได้ดูบอลหรือมีเรื่องในหัวแล้วผมไม่ได้เขียนระบายผมจะนอนไม่หลับ การทำเพจโดยไม่ต้องหวังผลหรือแบกภาระค่าใช้จ่ายอะไรทำให้ทุกๆการเขียนมัน relax และไม่มีความกดดันใดๆเลย

จะไฟมอด, จะแบตหมดหรือแล้วแต่คำที่จะสรรหามานิยาม แต่หลังขายเว็บ ผมก็ยังดูบอล นั่งเขียนอะไรไปเรื่อยยันเช้าอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ทิ้งสิ่งพวกนี้ไปไหนเลยแค่เรารู้สึกไม่ต้องเขียนโดยต้องแบกอะไรไว้เหมือนเมื่อก่อนก็แค่นั้นเอง

ผมเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ทุกคนยังหดหู่, ใจหวิวกับการประกาศลาออกของคล็อปป์อยู่

อย่างไรก็ตามผมอยากให้มองในมุมที่ว่าผู้จัดการทีมที่ผ่านๆมาล้วนแล้วจากไปแบบไม่สวยเลย ไม่ว่าจะโดนไล่ออกหรือแยกทาง

เคนนี่ ดัลกลิชที่เคยประกาศฟ้าผ่าลาออกในปี 1991 หลังจบเกมเสมอเอฟเวอร์ตัน 4-4 ในรายการเอฟเอ คัพ

ตอนนั้น “คิงเคนนี่” ก็ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาหรืออธิบายใดๆจนเดอะ ค็อปพากันสาปแช่งร่วมทศวรรษ

แต่สำหรับ JK แกบอกลาล่วงหน้าในวันที่เป็น “จ่าฝูง” และมีลุ้น 4 แชมป์ แฟนบอลยังมีเวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขไปอีก 4 เดือน ความทรงจำที่เกิดขึ้นโดยเจตนามันยิ่งพิเศษกว่ามาเอ่ยปากอำลาตอนงานเลี้ยงเลิกรา

ที่สำคัญจากไปตอนที่วางรากฐานเอาไว้ให้หมดแล้ว เหลือแค่เติมแต่งให้เข้ากับระบบของผู้มาใหม่ มันดีกว่า start from scratch หรือเริ่มจาก 0

ผมเชื่อว่าหลัง “ชาร์ตแบต” JK เขาจะกลับมาแน่นอน คนเคยทำงานยังไงไฟในตัวมันยังไม่มอดหรอกแค่ว่าคราวนี้แกจะพิจารณาเลือกงานที่เหมาะสมกับ energy ที่ไม่ล้นเหลือเหมือนเก่า (เช่นทีมชาติ)

ทุกคนเศร้าได้หดหู่ได้แต่ผมคิดว่าหลังบอลเขี่ยในเกมพบนอริชวันอาทิตย์นี้ ทุกๆคนควรทิ้งฟีลลิ่งอะไรพวกนี้และมองไปข้างหน้าได้แล้ว

ครับโดยส่วนตัวและยังรู้สึกค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้คือแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019-20 ซึ่งดันเป็นช่วงโควิดทำให้การฉลองแชมป์ไร้แฟนบอล

รอคอยมาครึ่งค่อนชีวิตถึง 30 ปีแต่พอถึงเวลากลับเฮได้ไม่เต็ม 100 ภาพที่ออกมาหงอยสุดๆ

หาก JK อำลาสโมสรพร้อมกับการฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ ชีวิตผมไม่มีอะไรที่อยากได้อีกแล้วครับ…

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: