เสียดายไม่ชนะแต่ไม่ควรมีใครต้องแพ้
ผมอยากหยุด pause การให้สัมภาษณ์หลังจบเกมท่อนนึงของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แล้วเข้านอนโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ
“ไม่ว่าใครก็ตามสู้กับ แมนฯซิตี้ ได้ขนาดนี้ มันคือการประกาศสาสน์ท้ารบดีๆนี่เอง”
เป็นการชื่นชมโดยตรงให้ความใจสู้ของลูกทีมและโดยอ้อมกับอริอย่าง เป๊ป และ ซิตี้ ซึ่งห้ำหั่นกันในพรีเมียร์ลีกเป็นหนสุดท้าย
ครับผมเองก็มองว่าทั้ง ลิเวอร์พูล และ ซิตี้ ต่างมีเหตุผลที่จะรู้สึก “โอเค” กับการแบ่งแต้มครั้งนี้
เป๊ป กวาดิโอล่า ควรต้องโล่งอกแน่ๆที่ช่วงโดน “กดยับ” ลูกโดนแซง 2-1 ไม่เกิดขึ้นซักทีหลังเจียนอยู่เจียนไปอยู่นานหลายนาที
ในขณะที่ JK และเหล่าเดอะ ค็อป เจียมเนื้อเจียมตัวขอ 1 แต้มเป็นอย่างน้อยในสภาพทีม ณ ตอนนี้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทันทีที่ตีเสมอจากจุดโทษของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ “ใจ” ของผู้เล่นเจ้าถิ่นใหญ่กว่าชื่อที่หลังเสื้อไปแล้ว
และแน่นอนความเสียดายเกิดขึ้นแน่นอนในเมื่อมีโอกาสชนะ “เรือใบ” จากการปูพรมเข้าใส่อย่างเมามันและโอกาสหลุดไปล่อเป้าของ ดิอาซ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
โดยเฉพาะเหตุการณ์ถีบยอดอกของ โดกู ใส่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายที่ยังคาใจใครหลายๆคน
การวิเคราะห์หลังจบเกมของ Sky พูดถึงประเด็นนี้ ซึ่งแน่นอนครับ 4 แขกรับเชิญเป็นนักเตะ “หงส์” ถึง 3 (แม็คมานานมาน, ฟาวเลอร์ และ ตูเร่) กับอีก 1 สโต๊ค (โอเว่น)
ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้คำตอบว่าลูกนี้ควรเป็นจุดโทษไหม!!
โดยส่วนตัวผมคิดว่าในเมื่อเป็นพรีเมียร์ลีก มันให้ได้และให้ไม่ได้ด้วยเหตุผลยัดยาง่ายๆเลยละกัน
1. ทดเจ็บวินาทีสุดท้ายแล้ว
2. ให้จุดโทษลิเวอร์พูลไปแล้ว ให้ลูก 2 ย่อมเกิดข้อ “พิพาท” ได้ง่ายกว่าจับมือแบ่งแต้ม
ส่วนเสียงแตกจากทั้ง 2 ทีมมองคนละมุม แฟน “เรือ” มองว่า โดกู โดนบอลก่อน (ถากๆ)
แต่ฝั่ง “หงส์” เถียงพร้อมหลักฐานว่า เคอร์ติส โจนส์ เคยเข้าบอลก่อนแต่ไถลไปโดนข้อเท้ายังใบแดง
แล้วนับประสาอะไรกับ “ยอดอก” ที่ยกเท้าสูงเข้าข่ายเล่นอันตราย ซิตี้จึงรอดตัวแบบเหลือเชื่อเมื่อดูจากภาพที่ออกมาค่อนข้างน่ากลัวเหลือเกิน
คาดว่าเป็นประเด็นที่น่าจะเถียงกันต่อไปอีกวันสองวัน อิ่มตัวแล้วก็ move on แยกย้ายครับ
ใดๆก็แล้วแต่ผมแนะนำให้เลือกเสพประเด็นดีกว่าหากไม่อยากเสพสารพิษผ่านโซเชี่ยล
อย่าตกเป็นเหยื่อครับ เปิดประเด็นมาทีฮาแตกเพราะบางคนยังไม่รู้เลยว่าเตะมุมไม่มีล้ำหน้า
ไหนจะประเด็นการ “สกรีน” ของ นาธาน อาเก้ ใส่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่มีคนบอกว่าต้องฟาว์ล
แต่นี่คือลูก “ลูกสูตร” อันแยบยลที่ทำให้การประกบตัวของฝั่ง ลิเวอร์พูล พังไม่เป็นท่าโดย จอห์น สโตน คนยิงประตูบอกเพิ่งซ้อมเมื่อวันศุกร์นี้เอง
ด้วยความสัตย์จริงทั้ง 2 ทีมต่างมีช่วง prime time ของตัวเองโดย ซิตี้ ขึงใส่ตั้งแต่ต้นด้วยเหล่าแข้งทวยเทพที่ขึ้นเกมอย่างเป็นระบบ
โดยหากฝ่าแดนกลางขึ้นมาได้เมื่อไหร่พื้นที่สุดท้ายมักเปิดโล่งเสมอ
ในขณะที่ “หงส์” ต้องยอมรับเลยว่าเป็นรองเนื่องจากอาศัย “ลูกหมี” สาดบอลทิ้งขึ้นหน้าให้ ดาร์วิน นูนเญซ เทคแย่งกับ อาคานจี่ และโดนบุกกลับมาแทบจะทันที
น้อยครั้งมากที่เราจะเห็น “ซิตี้” เล่นพลาดแบบทีมท้ายตารางจากการส่งบอลคืนด้วยเท้าข้างไม่ถนัดทำให้ “น้ำหนัก” เพี้ยนเบาไป
ใดๆก็แล้วแต่คุณต้องชื่นชมในความขยันของ นูนเญซ ที่ออกตัวตั้งแต่บอลยังไม่ออกจากเท้า จุดเด่นสปีดต้นทำให้ถึงบอลก่อน เอแดร์ซอน และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนเป็นอีกทีมไปเลย
ครับผมเชื่อว่าการเสมอเป็น fair result ใครแพ้มันน่าเสียดายทั้งคู่ เรา (แฟนหงส์) เองก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า “เรือใบ” ฉวยโอกาสตอนที่ ลิเวอร์พูล กำลังห้าวสุดขีดสบโอกาสทองบิ๊กๆถึง 2 ครั้ง
ไม่ว่าจะลูกลูกชนคานของ โฟเด้น และ ลูกยิงชนเสาเหลี่ยมเป็นใจเข้ามือ “ลูกหมี” ของ โดกู
สุดท้ายแล้วเราต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ในสภาพไม่เต็ม 100 ดันสู้กับ ซิตี้ ได้ดีกว่าบางนัดที่ตัวเต็มกว่านี้ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะ วาตารุ เอนโด ที่โชว์ class บอลให้เราเห็นอีกครั้ง มีส่วนสำคัญในการช่วยเกมรับมากจริงๆ
มากจน เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ ต้องเอ่ยปากชมในการให้สัมภาษณ์หลังจบเกมด้วยการเรียกว่า วาตารุ กับหมายเลข 6 ตัวสำคัญสกรีนเกมรุกของ ซิตี้
ครับการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาถึง 10 เกมสุดท้ายโดยในมุมมองผมกลับรู้สึกว่าเป็นสถานการณ์ที่ เป๊ป และลูกทีมมีประสบการณ์มากกว่า
สไตล์การเล่นของ “เรือใบ” เจอแต่ละทีมในลีกบอกเลยพลิกยากครับ ถ้าไม่เจอทีมเป้งๆ (ที่ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดได้ไหม) ตอนนี้ก็เหลือแค่ อาร์เซนอล และ สเปอร์ส หรืออาจะรวม แอสตัน วิลล่า เข้าไปด้วยอีกทีม ส่วนอีก 7 ทีมไม่น่าจะต้านไหว
ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่ก่อนแข่งคู่ต่อสู้ตัวเล็กกว่าแต่พอเตะแล้วตัวเท่ากันแทบทุกสัปดาห์ ชัยชนะในแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานมากกว่าซึ่งตรงนี้เสียเปรียบเนื่องจากมีขุนพลหมุนน้อยลงเรื่อยๆ
ดังนั้นการพลาดซักเกมนับจากนี้ของทั้ง อาร์เซนอล หรือ ลิเวอร์พูล อันตรายกว่า “เรือใบ” ชนิดที่ว่าอาจไม่มีโอกาสทวงคืนได้อีกเลย…
สถิติ สถิติ สถิติ
สถิติ 8 เกมในพรีเมียร์ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาดิโอล่า เจอกันในแอนฟิลด์ เป็นชัยชนะของ JK 4 เกมและ PG 1 ที่เหลือ 3 เกมแบ่งแต้มกันไป
ประตู : ลิเวอร์พูล 13 – แมนฯซิตี้ 11
โอกาสยิง : ลิเวอร์พุล 86 – แมนฯซิตี้ 90
ยิงเข้ากรอบ : ลิเวอร์พูล 30 – แมนฯซิตี้ 31
การครองบอล : ลิเวอร์พูล 46% – แมนฯซิตี้ 54%
การได้โอกาสยิงถึง 19 ครั้งคือตัวเลขที่ ลิเวอร์พูล มีเหนือ แมนฯซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกเป็นหนแรกนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2013 (22) โดย 12 หนมาจากครึ่งหลังซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ “เรือใบ” โดนคู่ต่อสู้ยิงใส่หลังพักครึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พบ ไบรท์ตัน เมื่อปี 2021 (12 เท่ากัน)
ทีมที่ยิงประตูนำไปก่อนใน 8 เกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนฯซิตี้ จบลงด้วยชัยชนะเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นและ “หงส์แดง” พลิกกลับมาได้มากถึง 23 แต้มหากถูกนำไปก่อน
อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำประตูจากจุดโทษมากถึง 9 จาก 10 ครั้งหลังสุดรวมถึงทำได้ 8 ลูกติดกันเข้าให้แล้ว, ด้าน เอแดร์ซอน เคยเซฟ 2 จุดโทษแรกเหนือ แม็ค แต่จอมหนึบแซมบ้ากลับเซฟจุดโทษให้ ซิตี้ ได้แค่ 1 จาก 22 ครั้งหลังสุดเท่านั้นเอง
เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับ 13 ประตูใน 12 เกมที่ลงเล่นให้ ซิตี้ ในปี 2024 (2 ประตู 11 แอสซิสต์) เป็นที่ 1 เหนือนักเตะพรีเมียร์ลีกในทุกรายการปีนี้
ที่มา: soccersuck