ครึ่งแรกเงียบกริบ ครึ่งหลังคมกริบ
ต้องบอกว่าแฟนลิเวอร์พูลคิดถึง โม ซาลาห์ จับใจในครึ่งแรกแต่หายคิดถึงในครึ่งหลังทันทีที่เห็นการจบสกอร์อันคมกริบของ ดาร์วิน นูนเญซ และ ดิโอโก้ โชต้า ที่รับเหมาคนละ 2
ชัยชนะเหนือบอร์นมัธถึง 4-0 อาจเกินคาดของพวกเราไปนิดเนื่องจากครึ่งแรกสภาพแนวรุกเล่นกันสเปะสปะแทบอยากปิดไฟไปนอน
เจอร์เมน เดโฟอดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษที่เคยเล่นให้ “เดอะ เชอร์รีส์” 3 ปี (2017-20) วิเคราะห์ในช่วงพักครึ่งว่าตัวรุกของ “หงส์แดง” เล่นบอลเห็นแก่ตัวสุดๆ
เพื่อนวิ่งทำทางหนแรกขึ้นมา 3 ตัว อีกหน 4 ตัวแต่ทั้ง 2 จังหวะดังกล่าว ดาร์วิน นูนเญซ และ หลุยส์ ดิอาซ เลือกยิงไกล
เป็นวิธีการเล่นที่ไร้ class และไร้วิชั่น การขาด “บังโม” ควรจะต้องหันมาเล่นเป็นทีมมากขึ้น
หาใช่มาโชว์เพื่อแสดงตัวแทน โม!!
ครับเขาถึงบอกว่าข้อดีของการมีพักครึ่งก็คือ team talk ที่ผู้จัดการทีมบอกสิ่งที่ชอบและไม่ชอบต่อหน้าทุกคน ดึงสติตั้งศูนย์ถ่วงล้อกันใหม่
“หงส์แดง” ยกระดับการเล่นขึ้นมาสมกับเป็นจ่าฝูง การประสานงาน, ความนิ่งกับบอล ไม่หุนหันพลันแล่นก้มหน้าก้มตามุดแบบครึ่งแรก
ถึงแม้ประตู 1-0 จุดเริ่มต้นไม่ใช่การเซ็ตอัพตามสูตรซักเท่าไหร่
ฮาร์วี่ เอลเลียตต์ ซึ่งวันนี้เล่นมิดฟิลด์ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งถนัด (และเล่นไม่ดีเลย) ออกบอลช้าและสั้นทำให้ โกนาเต้ ต้องแก้ไขด้วยการสาดบอลยาวทิ้ง
จนกระทั่งมาลงเอยด้วยการจบสกอร์ของ “หนูน” ที่บอกได้ว่านอกจากนิวคาสเซิ่ลแล้วก็มีบอร์นมัธนี่แหละครับที่ซวยจัดโดนหอก “กาชาปอง” ยิง 2 ประตูจากการโอกาสในเกมนี้ที่ไม่เยอะด้วย
ถึงมีการพูดกันว่า “หนูน” เป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลกไปนานแล้วถ้าจบสกอร์เก่งเท่าหาโอกาสให้ตัวเอง อารณ์ประมาณซูเปอร์ฮีโร่ที่มักมีจุดอ่อนซักอย่างเสมอ
เครดิตลูกปิดท้ายช่วงทดเจ็บยกให้ โจ โกเมซ ที่เปิดบอลราวกับ TAA เข้าสิง รวมถึงการยิงแบบท่ายากล้มตัวยิงด้วยขวาสวนทาง perfect ทั้งคู่ครับ
เช่นเดียวกันกับ โชต้า ขวัญใจเดอะ ค็อป แกคนนี้ไม่พูดเยอะ ถ้ามีโอกาสวางเท้าเข้าแน่นอน
ลูกแรกนี่คือหลักฐานความ “คมกริบ” ยิงแบบไม่ต้องคิดเยอะ เสียงตาข่ายและเหล็กทั้งรั้งดังทะลุจอ “แกร๊ง!!” ไฟเราะเพราะพริ้งเหลือเกิน
แม้กระทั่งลูก 3-0 ความเทพของ โชต้า คือแกยกระดับการยิงประตูด้วยการแอสซิสต์ให้ตัวเอง หลอก 2 ตัวตายสนิท ยอมว่ะ
แดนกลางวันนี้ผมชอบ แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ โจนส์ ที่สลับกันปั้นเกมรุกและช่วยเกมรับ เซนส์บอลและการเสียบอลยากของทั้งคู่ช่วยคุมบาลานซ์ของทีมได้ดีเอามากๆ
ส่วนประเด็นอื่นๆ จัสติน ไคลเวิร์ต รอดใบแดงหลังย่ำข้อเท้า หลุยส์ ดิอาซ จนน่าหวาดเสียวในครึ่งแรกแต่ เคอร์ติส โจนส์ เคยโดนใบแดงในลักษณะนี้กับ สเปอร์ส มาแล้วต้นซีซั่น VAR แล้วแต่วันจริงๆ
ในขณะที่ภาพหวาดเสียวคือต้องตามเช็กอาการกันต่อคือการโดนเสียบของ อิบู จนกระเผลกส่วนโจนส์เจ็บถูกเปลี่ยนตัวออกไปก่อนหน้านั้นอีก ลิสนักเตะชุดใหญ่แทบไม่เหลือแล้วตอนนี้
อย่างไรก็ตามการบุกมาเอาชนะบอร์นมัธที่ก่อนหน้านี้ชนะถึง 7 จาก 9 เกมในวันที่ไร้ โม ซาลาห์และนักเตะชุดใหญ่อีก 6-7 คนจึงเปรียบเสมือนได้ 3 แต้มสำคัญชนิด x2
ช่องว่างห่าง 5 แต้มเวลาลงสนามความกดดันยังไงก็น้อยกว่าครับและต้องไม่ลืมด้วยว่า 2 เกมหน้าของแข็งทั้ง เชลซี และ อาร์เซนอล ด้วย
ครับไม่มีอะไรแฮปปี้ไปกว่าการประเดิมวันทำงานที่ทั้งทีมชาติไทยไม่แพ้และลิเวอร์พูลได้ 3 แต้มในวันเดียวกัน
แม้อาจไม่ถูกใจแฟนบอลทุกคนก็ตาม…
สถิติ สถิติ สถิติ
ดาร์วิน นูนเญซ เป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกคนแรกที่ยิงและแอสซิสต์อย่างน้อย 10 ประตูในทุกรายการในฤดูกาลนี้
“หนูน” ยังทำสถิติยิงประตูในอาชีพค้าแข้งลูกที่ 100 ให้ตัวเองทั้งในระดับสโมสรและระดับชาติ
8 – อุรุกวัย
4 – เปนารอล
16 – อัลเมเรีย
48 – เบนฟิก้า
24 – ลิเวอร์พูล
โอกาสยิง 7 หนในเกมนี้ระหว่าง บอร์นมัธ กับ ลิเวอร์พูล ไม่มีลูกไหนยิงในเขตโทษเลย ทำให้นี่เป็นเกมแรกในพรีเมียร์ลีกที่ 45 นาทีแรกไม่มีโอกาสยิงในกรอบหนแรกนับตั้งแต่บอร์นมัธทีมเดิมพบเบิร์นลีย์เมื่อเดือนธันวาคม 2019
ที่มา: soccersuck