คาแรคเตอร์ “แชมป์” ทั้งเจ้านายและลูกน้อง

คาแรคเตอร์ “แชมป์” ทั้งเจ้านายและลูกน้อง

แม้แฟน อาร์เซนอล ส่วนใหญ่ยังเจียมตัวไม่อยากฝันไปไกลแต่การตามหลัง บอร์นมัธ 2-0 และพลิกแซงคว้าชัยในนาที 90+7 ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่านี่คือแคแรคเตอร์ของทีม “แชมเปี้ยน”

เกมที่ควรจะง่ายที่สุดกลับกลายเป็นยากที่สุด ใครจะไปคาดคิดว่า “รองบ๊วย” ที่ฤดูกาลนี้เพิ่งชนะนอกบ้านแค่เกมเดียวและมีประตูติดลบมากที่สุดเป็นอันดับ 2 กลายเป็นหมูสู้มีดทำเขียงแตกตั้งแต่วินาทีที่ 9

การเสียประตูเร็วสายฟ้าแล่บลูกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดของใครแต่เป็นจังหวะ “ซิตคอม” และช่วงเวลาเหม่อๆที่น่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้วในชีวิตนี้

โชคดีของลูกทีม มิเกล อาร์เตต้า ที่การโดนยิงไวหนนี้ได้ค่าประสบการณ์/บททดสอบความนิ่งและ 3 แต้มมาในคราวเดียวกัน

การตามหลัง 1-0 กับรูปเกมที่แทบไม่มีช่องให้แหวกแนวรับที่ยืนเต็มเหยียดทั้งในและหน้าเขตโทษเป็นโจทย์ที่หินมากๆ

ดังนั้นจู่ๆโดนลูก 2 จากลูกเตะมุมโดยที่ บอร์นมัธ แทบไม่มีโอกาสบุกต่อให้เป็นแฟน “ปืนใหญ่” เชื่อว่าหลายคนยอมมอบตัวกันหมดแล้ว

สถานการณ์น่าจะกู่ไม่กลับมากกว่านี้หากตอน 1-0 อารอน แรมส์เดล ไม่งัดลูกเซฟมหัศจรรย์ในนาที 20 ที่ดูกี่ทีก็ควรเป็นประตู (จังหวะโล่งๆ 2 รุม 1)

ครับเกมลักษณะนี้จะเห็นได้เลยว่าการไม่มีกองหน้าธรรมชาติที่รอเข้าฮอร์ตหรือจมูกไวในเขตโทษรวมถึงพวกที่มี skill ยิงไกลเสี่ยงโชคเป็นอะไรที่สำคัญเอามากๆ

การลงมาพลิกสถานการณ์ของ รีสส์ เนลสัน น่าจะเป็นหนึ่งในโมเมนท์ที่สุดของการเปลี่ยนเกมในซีซั่นนี้ของ มิเกล อาร์เตต้า

จะมีซักกี่ครั้งที่ผู้จัดการทีมเปลี่ยนสำรองลงแทนสำรอง (เนลสัน แทน สมิธ​ โรว์) หลัง ทรอสซาร์ เดี้ยงตั้งแต่นาที 22

เห็นกันแบบชัดๆเลยว่าสภาพร่างกายของ สมิธ โรว์ ยังไม่พร้อม ไม่มีลูก tricky แบบ ทรอสซาร์ แต่เน้นเพลย์เซฟทำให้แนวรับ บอร์นมัธ รับมือง่ายและโฟกัสไปฝั่ง ซาก้า กันหมด

การมีอยู่ของ เนลสัน เข้ามาเพิ่มความวูบวาบและที่สำคัญดึงผู้เล่นของทีมเยือนให้เทมากฝั่งซ้ายมากขึ้นกว่าตอนมี ESL

เนลสัน เข้ามาเปลี่ยนผลการแข่งขันของเกมนี้ด้วยแอสซิสต์หลังลงสนามแค่นาทีเดียว

ก่อนรับแสงไปคนเดียวเต็มๆข้อหาทำ เอมิเรสต์ แตกจากประตูชัยในนาที 90+7 หรือวินาทีสุดท้ายที่ผู้ตัดสินเตรียมอมนกหวีดเป่าจบเกมอยู่มะรอมมะร่อ

การตัดสินใจบางอย่างของนักฟุตบอลเป็นรายละเอียดเล็กๆที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกันและเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

ลองคิดเล่นๆประตูนี้อาจไม่เกิดขึ้นหาก “ปืนใหญ่” ถอดใจจนไม่มีลูกเตะมุมหรือถ้าเป็นคนถนัดขวาเก็บตกลูกนี้จะลองยิงเหมือนที่ เนลสัน ยิงไหม

หรือถ้าจับผลัดจับผลูเป็นคนเท้าซ้ายอย่าง โอเดการ์ด และ ชาก้า ตาจะจ้องบอล+ตั้งท่าและชาร์ตพลังระลึกชาติด้วยความนิ่งในเวลาบีบหัวใจได้เท่านี้ไหม

ผมหลงใหลในท่ายิงของ เนลสัน เอามากๆจนต้องนั่งดูไฮท์ไลท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะโดยส่วนตัวผมชอบนักบอลที่ยิงเสร็จแล้วขาลอยจากพื้น มันให้อารมณ์ “มันตีน” ดีแท้

นักฟุตบอลอาชีพหลายคนอาจไม่เคยมีโมเม้นยิงประตูชัยสวยๆในวินาทีสุดท้ายแบบนี้

แอบอิจฉาความรู้สึกของ “winning goal” ประเภท “หลังตาย” ที่เวลาพวกเราเช่าสนามเล่นกับเพื่อนแล้วไม่อยากได้ยินคำนี้มากที่สุด

จนถึงตอนนี้เรื่องฝีเท้าและความสามารถของนักเตะ “ปืนใหญ่” ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามเมื่อตัวเลข 20/3/3 บอกแทนทุกการกระทำ

แต่การ “คัมแบ็ค” ในเกมที่ส่อแววแพ้แถมต้องรับความกดดันจากการรู้ผลล่วงหน้าของ แมนฯซิตี้ เป็นประกาศว่าสภาพจิตใจของเด็กๆเป๊ปน้อยก็พร้อมแล้วเช่นกัน….

สถิติ สถิติ สถิติ

เหมือนบังเอิญที่ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกมีเพียง 2 หนเท่านั้นที่มีทีมโดนยิงนาทีแรกและมาแซงคว้าชัยในนาทีที่ 90 โดยครั้งแรกเป็น อาร์เซนอล ที่ชนะ ฟูแล่ม เมื่อเดือนสิงหาคม 2007 และล่าสุดกับ บอร์นมัธ

รีส เนลสัน มีส่วนร่วมกับประตูในพรีเมียร์ลีกในฐานะ “ตัวสำรอง” มากกว่านักเตะคนไหนในฤดูกาลนี้ (3 ประตู 2 แอสซิสต์) และเพิ่งสร้างสถิติเป็นผู้ยิงประตู “ชัย” ท้ายเกมที่สุด (96.57) ของ “ปืนใหญ่” นับตั้งแต่ฤดูกาล 2006-07 เป็นต้นมา

อาร์เซนอล พลิกเอาชนะคู่แข่งหลังตาม 2+ ลูกเป็นหนแรกในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2012 (แซงชนะ สเปอร์ส 5-2) โดยก่อนลงสนามวันเสาร์ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยชนะใครมาติดต่อกันอย่างยาวนานถึง 65 เกม (ถ้าโดนยิงนำก่อน 2 ลูกขึ้น)

ประตูในวินาทีที่ 9.11 ของ ฟิลลิป บิลลิ่ง นับเป็นประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาตร์พรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ เชน ลอง ยิงให้ เซาท์แฮมป์ตัน พบ วัตฟอร์ด เมื่อเดือนเมษายน 2019 ในวินาทีที่ 7.69

สเปอร์ส มีโอกาสยิงมากถึง 21 หนในเกมบุกพ่าย วูลฟ์ 1-0 กลายเป็นสถิติสูงสุดส่องมากสุดแต่ทำประตูไม่ได้ของ “คลับไก่” นับตั้งแต่แพ้ แมนฯยูฯ 1-0 เมื่อเดือนมกราคม 2019 (21 ครั้งเท่ากัน)

เชลซี คว้าชัยหนที่ 2 ใน 12 เกมทุกรายการในปี 2023 (เสมอ 4 แพ้ 6) และเป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบ 7 เกม (เสมอ 3 แพ้ 3) นับตั้งแต่เอาชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 เมื่อเดือนมกราคม

เวสต์แฮม ไม่ชนะ ไบรท์ตัน ในพรีเมียร์ลีกมา 12 นัดติดต่อกันแล้ว (เสมอ 6 แพ้ 6) นับเป็นทีมที่ “ขุนค้อน” เจอแล้วไม่ชนะมากที่สุดซึ่งตรงข้ามกับ “นกนางนวล” ที่ไม่เคยไร้พ่ายในการเจอกับคู่แข่งทีมไหนมากเท่านี้อีกแล้ว

เอแดร์ซอน กลายเป็นผู้รักษาประตูที่เก็บคลีนชีตครบ 100 นัดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเป็นอันดับ 3 (ลงเล่น 208 เกม) ต่อจาก ปีเตอร์ เช็ก (180) และ เปเป้ เรน่า (198)

ประตูของ แบร์นาโด้ ซิลวา นับเป็นลูกที่ 1,000 ในบ้านของ แมนฯซิตี้ (นับเฉพาะในลีก) นับเป็นทีมที่ 6 ที่สามารถยิงได้ถึงตัวเลขนี้ (160 ลูกใน เมน โร้ด และ 840 ที่ เอติฮัด)

ในวัย 22 ปี 280 วัน ฟิล โฟเด้น (33 ประตู, 17 แอสซิสต์) กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่มีส่วนร่วมกับประตู 50 ลูกให้ แมนฯซิตี้

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: