ชนะในวันที่ยิงไม่ได้ “หงส์” ถูไถรอดไปอีกเกม

จากวิธีที่ ลิเวอร์พูล เสียประตู, ฟอร์มการเล่นโดยรวมและสุดท้ายประตูชัยทั้ง 2 ลูกที่มาจากฝั่งตรงข้าม รวมๆแล้วบอกได้คำเดียวครับว่าผิดหวัง, ผิดหวัง และผิดหวัง

คนที่แบก “หงส์แดง” เกือบทั้งเกมคือ ติอาโก้ นอกนั้นที่เหลือมีแต่พวกทรงและทรุดโดยเฉพาะในครึ่งแรกที่หมดสภาพถูก “จิ้งจอก” ควบคุมแดนกลางเล่นลิงชิงบอลและตามเก็บบอลจังหวะสองรัวๆหลังขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 4

ที่มากไปกว่านั้นคือทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกนอกบ้านแทบปล่อยจอยเพราะก่อนมาเยือน แอนฟิลด์ พรี่ๆเขาแพ้ถึง 5 จาก 8 นัด

ฟอร์มล่าสุดแพ้คาบ้านให้ นิวคาสเซิ่ล 3-0 โดนยิง 3 เม็ดภายใน 32 นาที เรียกว่าเล่นไม่เอาอะไรกันแล้ว

คือ ลิเวอร์พูล ต้องอาการหนักแค่ไหนถึงเกือบม้วยคาบ้านโดยที่รูปเกมไม่ได้เหนือกว่าอะไรเลย

ยอมรับว่าก่อน เว้าท์ ฟาส จะสร้างคอนเทนท์ นั่งดูแบบเครียดๆเอามือสางผมจนรังแคร่วงเต็มโซฟา

เรื่องถูกยิงนำไปก่อนเราเห็นกันชินตาจนขี้เกียจนับแล้วว่าครั้งที่เท่าไหร่แต่ที่แน่ๆคือในปี 2002 “หงส์แดง” เสียประตูภายใน 5 นาทีแรกมากถึง 7 ลูกเข้าให้แล้ว

ประตูที่โดนมันผิดวิสัยทีมใหญ่ที่วางโพสิชั่นตัวเองอยู่ในกลุ่มไล่ล่าหาแชมป์อย่างรุนแรง

เริ่มง่อยๆจากลูก goal kick ของ แดนนี่ วอร์ด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าตำแหน่งการยืนของแนวรับเจ้าถิ่นมั่วมาก เซนเตอร์และแบ็คไม่อยู่ในตำแหน่งของตัวเองแม้แต่คนเดียว

TAA ไปรอเพรสกลางสนามทำให้ มาติป ต้องถ่างมา cover และแม้ตัวสูงกว่า ฮาร์วีย์ บาร์นส์ แต่โหม่งแย่งแพ้เฉย, VvD ตามมาสกัด แพตสัน ดาก้า เกือบครึ่งสนามแต่ไม่เจอบอล

เฮนโด้ ที่พึ่งสุดท้ายช้าเกินกว่าจะตัดเกม ทั้งหมดนี้เปิดทางให้ ดูว์สบิวรี่-ฮอลล์ หลุดเดี่ยวไปล่อเป้าใส่ อลิสซอน ผู้เชี่ยวชาญในการดวล 1 ต่อ 1 อย่างง่ายดาย

ลิเวอร์พูล โชคดีมากที่ไม่โดนลูก 2 เพิ่มหรือโดนตีเสมอในครึ่งหลังเพราะ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ลงมาแทน แพตสัน ดาก้า มีความเข้าใจเกมเปิดทางให้เพื่อนเหน่งๆ 2-3 หน

ครับ ฟุตบอลบางทีมันก็เกิดอะไรบ้าๆแบบนี้โดยที่เราไม่คาดคิดดังที่คอมเมนเตเตอร์ที่นู่นหลุดปากออกมาหลัง “หงส์แดง” นำ เลสเตอร์ 2-1

ไม่มีวี่แววอะไรเลยจริงๆ ไม่ใช่ประตูนะแค่โอกาสสวยๆยังยากเลยเพราะหลัง “จิ้งจอก” ขึ้นนำไลน์ดีเฟนซ์หน้าประตูแน่นไปหมดและในยามที่เจ้าถิ่นเหลือตัวรุกที่เลี้ยงกินตัวและสร้างปัญหาน้อยมากๆ

การขึ้นนำ 2-1 ภายใน 7 นาทีจากประตู OG. ก่อนหมดครึ่งแรกในไม่กี่อึดใจเป็นสกอร์งงๆที่ปรับอารมณ์ตามไม่ถูกเหมือนกัน

ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนาน สโต๊ค วิเคราะห์ช่วงพักครึ่งว่าเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ฟาส ถึงต้องล้มตัวสไลด์สกัดลูกแบบนั้นทั้งๆที่น่าจะจัดการกับบอลในท่ายืนได้ด้วยซ้ำ

ที่น่าสนใจคือ ฟาส คิดอะไรอยู่เพราะบอลกระเด้งลอยจากพื้น คุณไม่มีทางควบคุมหรือกะจังหวะการหวดสกัดลูกที่ต้องล้มตัวยืดขาดแบบนี้ได้เลย

สำหรับ og. ลูก 2 เป็นความซวยที่บอลชนเสาในขณะที่ตัวเองมาด้วยความเร็วเต็มสปีดและแทบจะวิ่งเลยบอลด้วยซ้ำ

การดูเกมบีบหัวใจเช่นนี้เราในฐานะคนดูไม่ชอบเอาซะเลย ลูก “ปิดเกม” ไม่มา หน้าที่รับภาระจึงอยู่ที่แนวรับซึ่ง TAA ดันองค์ลงในช่วงท้ายดักกิน บาร์นส์ จนแฟนๆปรบมือเกรียว

แม้ทางพรีเมียร์ลีกจะยกให้ MOM กับ TAA แต่สำหรับผมคือ ติอาโก้ ที่แบกมาตั้งแต่ครึ่งแรก (TAA แค่ครึ่งหลัง)

ด้วยความสัตย์จริง JK จะมีโชคเฉกเช่นจาก “ฟาส 2” ซักกี่ครั้งกันเชียวครับหรือได้ ติอาโก้ คอยเก็บกวาดสวยๆหลายหนท่ามกลางทรงบอลที่หลวมจนน่าเป็นห่วงแบบนี้ไปอีกกี่หน

การหมุนเวียนนักเตะแทนกันไม่ได้เลย ตัวหลักหายเมื่อไหร่อาการออกเมื่อนั้น ฟีร์เมียโน่ เจ็บ นูนเญซ ต้องมาเล่นหน้าเป้าซึ่ง อ็อกซ์เลด เล่นเหมือนเกมพบ วิลล่า เป๊ะๆ

ส่วน ฟาบินโญ่ เฝ้าภรรยาคลอดการที่ต้องให้เจ้าหนู เอลเลียตต์ เล่นกลางเราเห็นแล้วว่าคลาสยังไม่ถึง

ดังนั้นเป้าหมายแรกของ คล็อปป์ หลังได้ กัคโป มาแก้ปัญหาฝั่งซ้ายเรียบร้อยต่อไปไม่พ้นมิดฟิลด์อย่างแน่นอนซึ่ง ไซเซโด้ กำลังเป็นข่าวอย่างหนักด้วยสไตล์เข้าบอล,เป็นพวกมดงาน, มีความคล่องตัวและพละกำลังเหลือเฟือ ตอบโจทย์รูปแบบของ “หงส์แดง” เป๊ะๆ

ถ้าใครตามดู ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ก่อนบอลโลกหรือหลังบอลโลก แดนกลางมักเป็นรองฝั่งตรงข้ามในยามที่เจอพวกที่มีหือมีอือเล่นแบบไม่กลัว ปีนี้พละกำลังเป็นรองจริงๆต้องเติมลูกบู๊และลูกสดครับ กลางชุดนี้แช่อยู่ที่หน้าเดิมนานเกินไปมากๆแล้ว

ครับแต่ในความทุลักทุเลไม่ว่าจะ นูนเญซ ยังเก่งหาโอกาสแต่ไม่ยอมยิง, ซาลาห์ เล่นต่ำกว่ามาตรฐาน

ถ้ามองในแง่ดี ปัญหาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีเยอะแยะทั้งแดนกลาง, แนวรับและเกมรุก ไม่รู้จะเริ่มปวดหัวกับอันไหนก่อน

แต่ในระหว่างที่ยังหาทางออกไปเรื่อยๆ ลิเวอร์พูล ชนะรวดเป็นนัดที่ 4 และจากที่ห่างไกลจาก top สุดกู่ตอนนี้จี้เข้ามาเหลือแค่ 2

ก่อนหน้านี้มีโชคได้บอลโลกมาช่วยเบรกหายไปเดือนนึง ลีกกลับมาเตะแค่ 2-3 นัดตลาดซื้อขายก็เปิดปุ๊บ ได้แข้งใหม่มาช่วยทีมทันเวลา

ไทม์มิ่งที่เอียงๆเหมือนเป็นใจตรงนี้ถ้าเทียบกับช่วงที่ห่างจากโซนตกชั้น 5-6 แต้มทำให้ผมยังมองว่า “หงส์แดง” ณ ตอนนี้อาบน้ำปะแป้งหล่อขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลิเวอร์พูล ชนะในพรีเมียร์ลีกถึง 6 นัดในปี 2022 หลังเสียประตูแรกไปก่อน นับเป็นทีมที่ทำได้มากที่สุดเท่ากับ สเปอร์ส ในปีปฏิทินนี้ (6 นัดเท่ากัน)

ใน top 10 ลีกของยุโรปที่ลงเล่น 500+ นาทีในฤดูกาลนี้ ดาร์วิน นูนเญซ รั้งอันดับ 1 ในแง่ของค่าเฉลี่ยในการยิงต่อ 90 นาทีอยู่ที่ 6.0 แต่รั้งอันดับ 99 กับจำนวนประตูต่อ 90 นาทีซึ่งอยู่ที่ 0.57 เท่านั้น

ประตูของ ดูว์สบิวรี่-ฮอลล์ ในนาทีที่ 4 เป็นการเสียลูกที่ 7 ในพรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ในช่วง 5 นาทีแรกในปี 2022 ซึ่งมากกว่าทีมอื่นๆถึง 3 เกมและทำสถิติเทียบเท่า ซันเดอร์แลนด์ ที่ทำไว้ในปี 2000 และ แบล็คเบิร์น ในปี 2009

เลสเตอร์ แพ้ 10 จากการเยือน แอนฟิลด์ ในพรีเมียร์ลีก 12 นัดหลังสุด (เสมอ 2)

เว้าท์ ฟาส เป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ทำเข้าประตูตัวเอง 2 ลูกในเกมเดียวในพรีเมียร์ลีกหลัง เจมี่ คาร์ราเกอร์ เคยทำไว้ในปี 1999 เกมพบ แมนฯยูฯ, ไมเคิ่ล โพรเตอร์ (2003, ซันเดอร์แลนด์ พบ ชาร์ลตัน) และ โจนาธาน วอลเตอร์ (2013, สตโ๊ค พบ เชลซี)

เวสต์แฮม แพ้ 5 นัดรวดในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมษายน 2017 ภายใต้การคุมทีมของ สลาเวน บิลิช ส่วน เดวิด มอยส์ แพ้ 5 นัดในลีกติดต่อกันเป็นหนแรกนับตั้งแต่ตุลาคม 2005 สมัยที่คุม เอฟเวอร์ตัน (6 นัด)

อีวาน โทนีย์ เป็นนักเตะคนที่ 3 ที่ยิง 20+ ในพรีเมียร์ลีกปี 2022 ต่อจาก แฮร์รี่ เคน (26) และ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (20)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด