ตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีกหน้าหนาว 2023 ที่จ่ายหนักสุดในประวัติศาสตร์

#SSxKMD | การซื้อขายแลกเปลี่ยนนักฟุตบอลระหว่างสโมสร ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงทีมให้มีผลงานที่ดีขึ้น และเป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกจับตามอง ซึ่งระบบการซื้อขายผู้เล่น ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ฤดูกาล 2022/23 ถือเป็นวาระคอบรอบ 20 ปี “Transfer Window” หรือตลาดซื้อขายนักเตะแบบ 2 ช่วง คือฤดูร้อน (เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และฤดูหนาว (เดือนมกราคม ปีถัดไป) ที่ใช้กันในปัจจุบัน

เมื่อมาดูตลาดนักเตะวินเทอร์ของพรีเมียร์ลีก ปี 2023 ซึ่งปิดทำการไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 31มกราคมที่ผ่านมา สโมสรในลีกสูงสุดอังกฤษเกือบทุกสโมสร ได้มีการเสริมผู้เล่นใหม่ในรอบนี้อย่างคึกคัก

แม้ว่าตลาดนักเตะหน้าหนาว จะเปิดทำการแค่ 31 วัน แต่จำนวนเงินในการซื้อขายในตลาดนักเตะรอบนี้ สโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใช้จ่ายรวมกันสูงถึง 815 ล้านปอนด์ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ตลาดนักเตะทั้ง 2 รอบ ของซีซั่นนี้ มียอดการใช้จ่ายรวมประมาณ 2.8 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับยอดรวมตลอด 20 ปี ในการซื้อขายเฉพาะเดือนมกราคม ที่มีเกือบ 3 พันล้านปอนด์

สุดยอดบิ๊กดีลฤดูหนาว ที่รอพิสูจน์ความคุ้มค่า

เชลซี สร้างความฮือฮาในตลาดนักเตะหน้าหนาวปีนี้ ด้วยการเซ็นสัญญาเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ จากเบนฟิก้า ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และวงการฟุตบอลอังกฤษ

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนที่แล้ว “สิงห์บลูส์” ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวไคโล มูดริค กองหน้าดาวรุ่งยูเครนวัย 22 ปี ค่าตัวเบื้องต้น 62 ล้านปอนด์ บวกแอดออนอีก 27 ล้านปอนด์ รวม 89 ล้านปอนด์

นิวคาสเซิล เสริมความแกร่งด้วยแอนโธนี่ กอร์ดอน ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษวัย 21 ปี จากเอฟเวอร์ตัน ที่อาจมีค่าตัวสูงถึง 45 ล้านปอนด์ เพื่อหวังลุ้นโควตาไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

ลิเวอร์พูล ที่ผลงานตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อในซีซั่นนี้ ตกลงเซ็นสัญญากับโคดี้ กักโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ชุดฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุด จากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วยค่าตัวราว 44 ล้านปอนด์

อาร์เซน่อล ดึงตัวเลอันโดร ทรอสซาร์ กองหน้าทีมชาติเบลเยียมจากไบรท์ตัน ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ พร้อมกับยาคุบ กีเวียร์ เซ็นเตอร์แบ็กโปแลนด์ จากสเปเซีย ในอิตาลี ค่าตัว 17.6 ล้านปอนด์

ส่วนทีมครึ่งล่างของตาราง ก็เสริมหนักไม่แพ้กัน อย่างเช่นลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ดึงตัวจอร์จินิโอ รัทเทอร์ กองหน้าชาวฝรั่งเศสวัย 20 ปี จากฮอฟเฟ่นไฮม์ ด้วยค่าตัว 36 ล้านปอนด์ เป็นสถิติของสโมสร

บอร์นมัธ ดึงตัวดังโก้ อูอาตตารา กองหน้าบูร์กินาฟาโซจากลอริยองต์ ค่าตัวราว 20 ล้านปอนด์ ส่วนทางด้านเลสเตอร์ ซิตี้ จ่ายเงิน 17 ล้านปอนด์ ให้กับวิคตอร์ คริสเตียนเซ่น แบ็กซ้ายเดนมาร์ก จากโคเปนเฮเกน

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซื้อแดนนี่ อิงส์ กองหน้าชาวอังกฤษจากแอสตัน วิลล่า ค่าตัว 15 ล้านปอนด์ และในขณะเดียวกัน วิลล่าก็ดึงตัวจอน ดูแรน กองหน้าดาวรุ่งโคลอมเบียจากชิคาโก ไฟร์ ค่าตัว 18 ล้านปอนด์

รวมดีลในวันเดดไลน์ ที่วุ่นวายไม่ต่างจากอดีต

ถ้านับเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะรอบนี้ คือวันที่ 31 มกราคม 2023 จะพบว่ามีดีลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมี 19 จาก 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ที่มีการปิดดีลในวันตลาดวาย

ดีลของเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ กองกลางดาวรุ่งวัย 22 ปี ของทีมชาติอาร์เจนติน่า ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ที่ย้ายจากเบนฟิกา ไปเชลซี คือหนึ่งในดีลที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะเดือนมกราคมปีนี้

อีกดีลที่เซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตัดสินใจปล่อยเจา กานเซโล่ ไปให้บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลนี้ ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมอย่างถาวรในซัมเมอร์นี้ ค่าตัว 61 ล้านปอนด์

อาร์เซน่อล เสริมความแข็งแกร่งด้วยการซื้อจอร์จินโญ่ มิดฟิลด์อิตาลีจากเชลซี ค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอยืมตัวมาร์เซล ซาบิตเซอร์ กองกลางชาวออสเตรียจากบาเยิร์น มิวนิค

ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ประกาศเซ็นสัญญากับเปโดร ปอร์โร่ ฟูลแบ็กจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลนี้ และมีออพชั่นซื้อขาดที่ 40 ล้านปอนด์ หวังช่วยทีมลุ้นท็อปโฟร์ในครึ่งซีซั่นหลัง

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยังเสริมต่อเนื่อง โดยคว้าตัวเฟลิเป้ กองหลังชาวบราซิลจากแอตเลติโก้ มาดริด, จอนโจ เชลวีย์ กองกลางจากนิวคาสเซิล รวมทั้งยืมตัวเคเลอร์ นาบาส ผู้รักษาประตูจากปารีส แซงต์-แชร์กแมง

เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ดึงตัวแฮร์รี่ ซัตตาร์ กองหลังจากสโตค ซิตี้ ด้วยค่าตัวประมาณ 20 ล้านปอนด์ และคริสตัล พาเลซ ที่คว้าตัวนาอูอิรู อาฮามาด้า มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสจากสตุ๊ดการ์ท ค่าตัว 11 ล้านปอนด์

บอร์นมัธ เซ็นสัญญากับอิลเลีย ซาบาร์นยี่ เซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติยูเครน ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ และฮาเหม็ด ตราโอเร่ กองกลางไอเวอรี่โคสต์ ด้วยสัญญายืมตัวจนจบซีซั่น และย้ายอย่างถาวรช่วงซัมเมอร์ ค่าตัว 20 ล้านปอนด์

ปิดท้ายด้วย เซาแธมป์ตัน เสริมทัพหวังอยู่รอด ด้วยการคว้าตัวกามัลดีน ซูเลมานา ปีกชาวกานาจากแรนส์ ค่าตัว 22 ล้านปอนด์ เป็นสถิติของสโมสร และปอล โอนูอาชู กองหน้าชาวไนจีเรียจากเกงค์ 18.5 ล้านปอนด์

ครองแชมป์ลีกลูกหนัง ช็อปบ้าคลั่งที่สุดในโลก

จากข้อมูลของดีลอยด์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก ระบุว่า ยอดใช้จ่ายเฉพาะตลาดหน้าหนาวปีนี้ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (295 ล้านปอนด์)

ตัวเลข 815 ล้านปอนด์ เป็นการทุบสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2018 (430 ล้านปอนด์) เมื่อนำไปรวมกับช่วงซัมเมอร์ปีที่ผ่านมา ก็จะเป็น 2 เท่า ของยอดใช้จ่ายในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2017 (1.4 พันล้านปอนด์)

และถ้านับเฉพาะวันปิดทำการซื้อขาย (31 มกราคม) สโมสรในพรีเมียร์ลีกใช้เงินรวมกันมากถึง 275 ล้านปอนด์ ทำลายสถิติเดิมของวันตลาดวายเมื่อปี 2018 ที่ทำไว้ 150 ล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้น 83เปอร์เซ็นต์

เอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีก ที่ไม่เซ็นสัญญานักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายรอบนี้เลยแม้แต่คนเดียว เนื่องจากกำลังเจอปัญหาทางการเงิน และอาจจะตัดสินใจขายสโมสรถ้ามีข้อเสนอที่เหมาะสม

พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ใช้จ่ายในตลาดหน้าหนาวปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 79 เปอร์เซนต์ ของยอดรวมทั้ง 5 ลีกใหญ่ยุโรป ซึ่งสวนทางกับอีก 4 ลีกที่เหลือ ที่สัดส่วนลดลงไป 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรากฎการณ์ “ช็อปตลาดแตก” ของเชลซี ยุคที่ท็อดด์ โบห์ลี่ เข้ามาเป็นเจ้าของทีมในซีซั่นแรก ได้ใช้เงินไปมากกว่ายอดรวมของทุกสโมสรในบุนเดสลีกา, เซเรีย อา, ลาลีกา และลีก เอิง เสียอีก

ตลาดเดือนมกราคมปีนี้ เขลซีใช้เงินไปร่วม 300 ล้านปอนด์ คิดเป็นสัดส่วน 37 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่สโมสรพรีเมียร์ลีกใช้จ่ายทั้งหมด แลกกับนักเตะใหม่อายุน้อย 8 คน และเซ็นสัญญาในระยะยาวทั้งสิ้น

ในจำนวนนี้คือ เอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ นักเตะค่าตัว 105 ล้านปอนด์ แพงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และพรีเมียร์ลีก รวมทั้งจ่ายค่ายืมตัวเจา เฟลิกซ์ จากแอตเลติโก้ มาดริด เป็นเงินเกือบ 10 ล้านปอนด์

ยอดใช้จ่ายของ “สิงห์บลูส์” ในตลาดนักเตะฤดูหนาว แซงหน้าฤดูร้อนที่ใช้เงินไป 270 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นยอดใช้จ่ายในช่วงซัมเมอร์ที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเรอัล มาดริด ในปี (292 ล้านปอนด์) ในปี 2019

“ตลาดนักเตะเดือนมกราคมปีนี้ สโมสรในพรีเมียร์ลีกได้ใช้จ่ายมากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป เป็นสัดส่วนที่แตกต่างกันเกือบ 4 เท่า มันไม่เคยมากขนาดนี้มาก่อน” ทิม บริดจ์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการกีฬาของ Deloitte กล่าว

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกจะมีการลงทุนมหาศาลในการยกระดับทีม แต่ก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความสมดุลที่ดีทั้งเรื่องของความสำเร็จในสนาม และความยั่งยืนทางการเงิน”

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/64473758

https://www.premierleague.com/news/2891053

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด