ตามสูตรบอลเปลี่ยนโค้ช “หงส์” หมดสภาพเกินรับไหว

ตามสูตรบอลเปลี่ยนโค้ช “หงส์” หมดสภาพเกินรับไหว

ฟุตบอลนอกจากฝีมือ/โชคดวง….พวกจังหวะชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กันครับ

ดังเช่น อาร์เซนอล ดวงถึงฆาตที่ร้อยวันพันปี เอฟเวอร์ตัน ยื้อ แฟร็งค์ แลมพาร์ด มาตั้งนานแต่ทำไมตอนเปลี่ยนโค้ชต้องเป็นก่อนเจอกูด้วย

สูตรบอลเปลี่ยนโค้ชและเล่นในบ้านนัดแรกไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนเป็นสิ่งที่ทีมตรงข้ามไม่อยากเจอด้วยที่สุด

เห็นได้ชัด (แบบชัดมากๆ) ว่า way of life ในการเอาตัวรอดในลีกสูงสุดของ ชอน ไดซ์ ยก เบิร์นลีย์ ในอดีตมาทั้งภาพและกลิ่น

physical, ลูกขยันกัดไม่ปล่อย, ความมีวินัยและลูกเซ็ตพีซที่ได้เหมือนจุดโทษ

นี่คือปรัชญาของ ไดซ์ ที่ทำให้ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งแพ้ 6 จาก 8 เกมหลังสุดและไม่ชนะใครตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วสามารถโค่น “จ่าฝูง” ชนิดที่ไม่เป็นรองเลยด้วยซ้ำ

หากใครมองในมุมที่ว่า “ปืนใหญ่” คนนั้นเล่นไม่ดีคนนี้เล่นต่ำกว่ามาตรฐานหรือเพราะ โธมัส ปาเตย์ ไม่ฟิต บลาบลา

แต่เหตุผลหลักที่เราต้องไม่ควรมองข้ามเลยคือการเล่น/การแสดงออกของ เอฟเวอร์ตัน ตลอดทั้ง 90+6 ต่างหากที่ทำให้ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่สามารถเล่นได้เหมือนที่เคย

นักเตะหลายคนที่เคยมีแต่ลูกขยันในสมัย แลมพาร์ด แต่เมื่อ ไดซ์ เจียรไนรูปแบบการเล่นให้ทั้งทีมความเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมจริงๆครับ

อามาดู โอนาน่า ตัดเกมทำลายแดนกลางของ “ปืนใหญ่” ในขณะที่ เชมุส โคลแมน แบ็คขวาในวัย 34 ปีและ มิโกเลนโก้ แบ็คซ้าย ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนในการรับมือกับทั้ง มาร์ตินเลลี่ และ ซาก้า ปิดเกมริมเส้นทีมเยือนได้หมดจด

นักเตะในทีมคนอื่นๆยกมาตรฐานตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมาในแบบพร้อมเพรียงกันด้วย

บอล direct ไม่ซับซ้อน นักเตะเข้าใจได้ง่ายๆเป็นการกดสูตรของ ไดซ์ ที่ได้ผล นักเตะใส่ใจลงไปเล่น กองเชียร์ยิ่งดูยิ่งมัน

การที่ เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ อดีตลูกศิษย์และไม่เคยทำประตูในสีเสื้อ “ท๊อฟฟี่” ได้มาก่อนแต่กลับเปิดซิงและเป็นประตูชัยในเกมนี้ไม่ใช่เพราะ ไดซ์ แล้วจะเพราะใคร

เอฟเวอร์ตัน ปิดตลาดหน้าหนาวโดยที่ไม่ได้นักเตะใหม่แม้แต่คนเดียวแต่หากตอนนี้ใครถามเหล่ากองเชียร์ “ท๊อฟฟี่” เมน คำตอบที่ได้กลับมาคือพวกเขาได้มา 1 คนและเป็นตัวความหวังที่สุดในซีซั่นนี้ไปแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้นแท็คติกส์หรือสภาพจิตใจอะไรก็ตาม สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือวันนี้แข้ง เอฟฯ แววตาการเล่นไม่ “หงอ” ฝั่งตรงข้ามที่เป็นถึงจ่าฝูงให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

ผมเห็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเกมวันที่สุดตอนที่ แลมพ์ ยังอยู่คือวันที่ เอฟเวอร์ตัน บุกไปเสมอ แมนฯซิตี้ 1-1

คำถามต่อจากนี้หลังเริ่มนับ 1 ไปพร้อมๆกันทั้งเจ้านายและลูกน้องคือ “แรงจูงใจ” ในระยะยาวจะลดลงมากน้อยแค่ไหน น่าติดตามครับ

สำหรับ อาร์เซนอล หากมองในแง่ที่ว่าเก็บความพ่ายแพ้วันนี้เป็นการบ้านไม่ว่าจะเหตุการณ์บอลเปลี่ยนโค้ชและการเล่นสไตล์ direct (ที่หายากในสมัยนี้)

การนำ แมนฯซิตี้ 5 แต้มจากการลงสนามเท่ากันและเพิ่งแพ้เป็นนัดที่ 2 หลังเคยเสียท่าให้ แมนฯยูฯ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

จะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาโลกแตกเลยเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ

ใช่ครับทีมอื่นๆที่ว่าเจาะจงกันไปเลยก็คือ ลิเวอร์พูล ที่ชั่วโมงนี้เป็นความทนทุกข์ทรมานในการนั่งดูและไม่อยากเชื่อว่านี่คือทีมๆเดิมกับเมื่อฤดูกาลที่แล้วหรือเมื่อ 2 ปีก่อนหรือเมื่อ 3 ปีก่อน

คือก่อนดู “หงส์แดง” ช่วงนี้ต้องแบกความรู้สึกหวาดกลัว, ขวัญผวาทุกๆสัปดาห์

รู้ว่าสภาพทีมอ่อนแค่ไหน คือรู้แหละแต่พอโดนยิงลูกแล้วลูกเล่า แต่ละประตูที่เสียไปมันก็หน้าชาปากซีด ไม่คิดว่าจะอ่อนได้ขนาดนี้ ไม่มั่นใจแล้วว่านี่คืออ่อนที่สุดหรือยังอ่อนได้อีก

สภาพที่เห็นตั้งแต่แนวรุกและแนวรับทำให้ตอนนี้ไม่มั่นใจเลยครับว่าจะเอาชนะอีก 19 ทีมด้วยอีท่าไหน อันนี้พูดด้วยความสัตย์จริง

เสียประตูไวเนี่ยเราเห็นกันมาร่วมปีแล้วใช่ไหมครับ มันยังแก้ไม่หายแต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความขายขี้หน้าที่โดนง่ายเหมือนบอลตำบล

เจอ ไบรท์ตัน ก็ให้เขาทุ่มเข้าเขตโทษโดนยิง, เตะมุมข้ามหัวกระโดดหันหลังบล็อกโดนหลอกโดนยิง

ล่าสุดที่ โมลินิวซ์ กราว์ด คุณปล่อยให้เขาเปิดบอลโต้งๆแถมเซนเตอร์ปล่อยบอลตก

ลงท้ายจากจังหวะ half chance มุมอับของ ฮีชาน ที่เปิดวัดดวงกลายเป็น OG. ตั้งแต่นาทีที่ 5

แล้วใจคอโหดร้ายกะไม่ให้แฟนบอลได้มีความหวัง (ซักนิด) แต่บีบให้ปิดไฟนอนตั้งแต่ 12 นาที

วิ่งออกไปเอาแตงโมที่สั่งไรเดอร์แป๊บเดียว 2-0 แล้ว เกิ๊นนนนน

แล้วเรื่องของเรื่อง สิ่งนึงที่ผมอุ่นใจได้ว่าเกมนี้ต่อให้ห่วยแค่ไหนแม่งก็มีลุ้นเพราะรู้กันอยู่ว่า วูลฟ์แฮมป์ตัน เกมรุกกากสุดในลีก

ก่อนเจอ “หงส์แดง” ยิงไปแค่ 12 ลูกจาก 20 เกม การจบสกอร์เน่าโคตรๆแต่ลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ กลับปล่อยให้เขายิง 3 ลูกในเกมเดียว เหลือเชื่อจริงๆ

ผมไม่รู้แฟนบอลทีมอื่นสงสารหรือหัวเราะเยาะมากแค่ไหนกับประตูที่โดนในช่วงหลังๆ

โจ โกเมส เหวอะหวะมาก หาความไว้ใจใดๆไม่ได้เลย เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมตูมได้ทุกเมื่อ โหม่งตัดหน้า อลิสซอน เสีย 2-0 ยึกยักทำเสียบอลกลางสนามโดน 3-0

ในขณะที่ โจเอล มาติ๊ป เล่นเหมือนคนถูกจับเรียกค่าไถ่ สีหน้าดูหวาดระแวง ตาขวาง คิดช้าสทำช้า แค่คืนหลังยังนวยนาดโดนเขาฉกไปกินหน้าตาเฉย

ตอนแรกที่ทุกคนเพ่งเล็งไปที่ปัญหาใหญ่คือแดนกลางแต่เจ้าหนู บายเซติช ทำให้มันยังพอถูไถสู้กับทีมอื่นได้ดีขึ้นมาบ้าง

แต่แดนหน้าส่งกลิ่นพอๆกับแนวรับ โอกาสไม่ใช่ว่าไม่มี ทั้ง ซาลาห์ ทั้ง นูนเญซ

คนแรกรับค่าเหนื่อย 350k ปุ๊บปล่อยจอย วางเท้ายิงหลุดเรดาร์ไม่มีลุ้น ส่วนคนหลังขยันแต่ไม่ว่าจะยิงหรือเปิดเน้น full power กดเต็มหลอด แทบไม่เคยเห็นยิงเล่นทาง

หากใครได้ดูเกมนี้ต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ขึงใส่ วูลฟ์ อย่างบ้าคลั่งและเล่นด้วยความกระตือรือร้นผิดจากครึ่งแรก

จนมีคนบอกเล่นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว

ช้าก่อนนนนน “หมาป่า” นำ 2 เม็ด เขาไม่บ้าบุกไม่บ้าโหมให้เปลืองแรงเหมือนตอนแรกเองนะครับ

มันเลยดูเหมือน “หงส์” เหนือกว่าแต่วิธีการเล่นมันก็เป็นแบบนี้ทุกนัดไหมครับเวลาคู่ต่อสู้นำห่างซัก 2 ลูก เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว (ซึ่งได้มาง่ายๆ) เขาก็ปล่อยให้คุณปล่อยของ (แบบมั่วๆ) เพื่อรอฉวยโอกาส เปลี่ยนวิธีเล่น

สิ่งที่เราเห็นทุกนัดคือ ลิเวอร์พูล เหม่อลอยคล้ายคนขาดแรงจูงใจ ไม่กระเหี้ยนกระหือรือจนกระทั่งโดนนำไปก่อนค่อยมาฮึด วนลูปกันไป

ทีมไหนก็ตามเกมรับโดนทุกนัดและดันไม่มีตัวจบสกอร์ (ที่ใช้โอกาสไม่เปลือง) คุณเลิกคิดถึงเรื่องเอาชนะได้เลย แพ้เห็นๆชั่วโมงนี้ เวทีพรีเมียร์ลีกไม่มีที่ว่างให้ทีมไร้ประสิทธิภาพในทุกตำแหน่งแบบนี้หรอกครับ

ขืนลงเหวเรื่อยๆ ในบ้านไม่ชนะนอกบ้านคอยแจกแต้มอีกซักพักนึงท้ายตารางไม่ใช่เรื่องไกลตัวนะทำเป็นเล่นไป

ภาษากายของนักเตะของ JK ตอนนี้แย่มากครับ ลงสนามเจอใครเป็นรองทุกทีมผมกล้าท้าได้เลย

เล่นหงอๆแหยงๆแบบนี้ เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมทช์ วันจันทร์หน้า ชอน ไดซ์ ลูบปากรอเลยครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

มิเกล อาร์เตต้า คุมทีมแพ้ 3 เกมรวดในการเยือน เอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าตัวเป็นกุนซือ อาร์เซนอล คนแรกที่แพ้นัดเยือน “ท๊อฟฟี่” ในลีกติดต่อกัน 3 นัด

อาร์เซนอล เพิ่งแพ้เกมที่ 2 จาก 2 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 17 เสมอ 2) โดยแพ้หนแรกในรอบ 14 เกม

“ปืนใหญ่” ใช้ line up เดิมในลีกติดต่อกัน 5 เกมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ เมษายน-พฤษภาคม 2015 (6 เกม)

ชอน ไดซ์ เป็นกุนซือเพียงแค่คนที่ 2 เท่านั้นที่รับงาน “เกมแรก” และสามารถโค่นคู่แข่งที่ก่อนลงเล่นอยู่ในฐานะ “จ่าฝูง” โดยคนแรกเป็น อลัน เคอร์บิลชลีย์ ที่พา เวสต์แฮม ชนะ แมนฯยูฯ เมื่อเดือนธันวาคม 2006

“ท๊อฟฟี่” ชนะในบ้านยามพบ อาร์เซนอล 3 นัดติดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีนาคม 1977 ถึง สิงหาคม 1978

ลิเวอร์พูล เสียประตูใน 5 นาทีแรกมากกว่าทุกทีมในซีซั่นนี้โดยลูก OG. ของ โจเอล มาติ๊ป เป็นประตูแรกของ วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่ยิงได้ใน 5 นาทีแรกของซีซั่นนี้อีกด้วย

มาติ๊ป ทำเข้าประตูตัวเองในพรีเมียร์ลีกหนแรกหลังลงเล่นในรายการนี้มาทั้งสิ้น 135 เกม

“หงส์แดง” แพ้ 3 นัดติดในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012

“หมาป่า” ภายใต้การทำทีมของ ฆูเลน โลเปเตกี เพียงแค่ 6 นัดก็เก็บชัยชนะ (3) ได้มากกว่า บรูโน่ ลาจ และ สตีฟ เดวิส ที่คุมรวมกัน 15 เกมแต่ชนะแค่ 2 เท่านั้น

เคร็ก ดอว์สัน ยิงประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีกโดย 3 ในนั้นยิงใส่ ลิเวอร์พูล นับเป็นการยิงใส่คู่แข่งทีมเดียวมากที่สุดของเขาแล้ว

ดอว์สัน เป็นนักเตะคนที่ 9 ของ วูลฟ์ ที่ยิงประตูในเกม debut และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ ฮวาง ฮี ชาน เคยยิงใส่ วัตฟอร์ด เมื่อเดือนกันยายน 2021

รูเบน เนเวส ยิงประตูที่ 20 ในลีกให้ “หมาป่า” และลูกที่ 5 ในซีซั่นนี้ เป็นตัวเลขที่ดีที่สุดของเจ้าตัวต่อ 1 ฤดูกาลไปแล้ว

แมนฯยูฯ ชนะรวด 13 เกมใน โอลด์แทรฟฟอร์ด รวมทุกรายการ เป็นสถิติกวาดชัยในบ้านยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2010 และ กันยายน 2-11

คาเซมิโร่ โดนใบแดงโดยตรงครั้งแรกในอาชีพค้าแข้ง (นับ 5 ลีกหลัก) โดยก่อนหน้านี้เล่นให้ เรอัล มาดริด 336 นัด และปัจจุบัน แมนฯยูฯ 30 นัดทุกรายการไม่เคยโดนแดงโดยตรงเลย

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: