ทีมกลางตาราง บอลซาเล้งคุณภาพต่ำ
หากใครเสพหนังซีรีย์ของเกาหลีหรือฮอลลีวู้ดมาอย่างโชกโชนจนเกิดวันใดวันนึงกลับมาดูของไทยเรา แว่บแรกที่คุณคิดในใจคือ “นี่มัน here อะไรเนี่ย!?”
เป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกถึงคู่ “สงครามกลางตาราง” ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เชลซี ที่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
พูดได้ว่านี่เป็นเกมคุณภาพต่ำที่ผมเคยเห็นจากพวกทีมหนีตกชั้นเขาเล่นกันหรือถ้าบอกถูกสัญญาณรบกวนเป็นการถ่ายทอดสดจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ กูก็เชื่ออ่ะ
พวกเราเคยเป็นสักขีพยานดูพวก อาร์เซนอล, แมนฯซิตี้, แมนฯยูฯ หรือ นิวคาสเซิ่ล และ ไบรท์ตัน เขาเล่นกัน นี่มันฟ้ากับเหวสุดๆ
เขียนบท 3 วันถ่ายทำ 2 สัปดาห์
ผู้กำกับทำหนังโดยเอาชื่อนักแสดงเก่าๆมาหากินหลอกแดกเงินคนดูชัดๆ!!
ถ้าไม่นับแนวรับส่งบอลกลับไปมา “หงส์แดง” ต่อบอลปั้นเกมขึ้นมาไม่เกิน 3 หน….เสีย
ถึง 4 นี่แม่งก็เก่งแล้ว
สกาย สปอร์ต ใช้คำว่า แนวรับดูเหมือนพวก “nervous” แกว่งๆลนลาน แฟนบอลไม่รู้สึกอุ่นใจเมื่อถูกเพรสซิ่ง การคืนบอลให้ อลิสซอน หลายๆลูกส่งแบบมีขี้เหลืองๆติดมาด้วย “พ่อหมี” ต้องปั่นไซด์ข้างเท้าทิ้งพร้อมสีหน้าที่ดูตึงเครียด
ในขณะที่ “สิงห์บลู” จะบอกว่าห่วยพอๆกับเจ้าถิ่นก็ไม่ค่อยเต็มปากเพราะอย่างที่ผมบอกมาตลอดว่าทีมของ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ตบๆซัก 2-3 ทีกลับมาเข้าทางได้ไม่ยาก
ถ้าคุณลองดูรายชื่อของฝั่ง เชลซี เรียกว่าตัวเลือกมีไม่ค่อยเยอะทำให้ พ็อตเตอร์ ต้องจำใจใช้งาน เมสัน เมาท์ หรือ ไค ฮาแวร์ตซ์ รวมถึง คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ผมคิดว่าตัวที่หายๆไปทำได้ดีกว่าแน่นอน
งานที่ออกมาจึงตามคุณภาพผู้เล่นที่เดี้ยงไปเกิน 10 คน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทรงบอลวิธีขึ้นบอลดูดีมีอนาคตกว่า ลิเวอร์พูล ติดตรงที่บอลจังหวะสุดท้ายยังออกลูกซาเล้งอยู่
ที่ๆเขาด่ากันส่วนใหญ่เป็นจังหวะบอลสุดท้ายที่ไม่ยอมทำอะไรให้มันเด็ดขาด ทู่ซี้ไม่ยอมยิงทั้งๆที่จังหวะ/ระยะมันมาแล้ว บลาบลา
การเก็บบอลครองบอลดูดีกว่านะครับ หลายครั้งเคาะบอลไปมาจนกระทั่งเจ้าถิ่นที่พยายามวิ่งไล่เลิกไล่ไปเอง ตรงจุดนี้มันก็บอกได้อยู่แล้วว่ารูปแบบวิธี “สิงห์” ดีกว่า มีตำรามีคู่มือนะติดแค่คน
ต้องไม่ลืมด้วยว่าซีซั่นนี้ เชลซี แพ้นอกบ้านมากกว่าชนะแต่มาเยือน แอนฟิลด์ ในสายตาผมทำเกมบุกเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่า
ตอนนี้นอกจากกำลังได้นักเตะใหม่มาช่วยกู้สถานการณ์พวกเขาเก็บคลีนชีตมา 2 นัดติด ถือเป็น good sign ของทีมที่ตั้งเป้าคัมแบ็ค ไม่ใช่คัมแบ็คด้วยการพูดและยกมือไหว้
บอกตามตรงถ้าเกมนี้ เจา เฟลิกซ์ ไม่ติดโทษแบน อาจเกิดหายนะที่ แอนฟิลด์ เพราะคนพลิกบอลเก่งๆ จมูกไวฉีกไลน์ล้ำหน้าเขี้ยวๆเจอแนวรับหลวมเป็นจิ๋มกระป๋องของ “หงส์แดง” มีซักตุงแน่ๆ
การลงสนามอย่างรวดเร็ว 10 นาทีในครึ่งหลังของ มีคายโล่ มูดรีค ทำให้เกมของทีมเยือนมีความวูบวาบ การเลี้ยงบอลติดเท้าคล้าย อารซาร์ ทำให้เกือบมีประตูกในจังหวะหลบ 2 ยิงเข้าข้าง
จูนกับเพื่อนร่วมทีมอีกซักนิดลงซ้อมเซสชั่นมากกว่านี้หน่อยและจับจังหวะบอลไวๆของพรีเมียร์ลีกได้เมื่อไหร่ตัวนี้ไม่น่าห่วงครับ
เฮดไลน์ของคู่นี้เกือบเป็นบอลคาบ้าน จากการที่ “สิงห์” ยิงประตูตั้งแต่ไก่โห่นาทีที่ 3 ซึ่งเป็นโอกาสแรกของเกมนี้ด้วย (ถ้าไม่มีขาของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ล้ำไลน์มาแค่นิดเดียว)
เป็นการตอกย้ำว่าพฤติกรรมการเสียประตูแรกของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาจนเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว
ไม่นับพวกจังหวะที่น่าโดนโคตรๆไม่ว่าจะฟรีคิกของ ซีเยค ในนาที 31 ที่ผ่านหน้าแข้ง ลิเวอร์พูล 4-5 คนที่กรอบ 6 หลาแต่ เบอโนต์ บาเดียชิล ไม่รู้โหม่งแค่ไม่กี่หลาแป๊กไปได้ไง
หรือถ้า มูดรีค จับบอลที่เลยหัว เจมส์ มิลเนอร์ ที่เสาสองดีๆได้ล่อเป้าเหน่งๆเผาขนไปแล้ว
วันนี้ เดอะ ค็อป หมดสิทธิ์คร่ำครวญใดๆในเรื่องของปัญหาแดกลางเพราะ เยอร์เก้น คล็อปป์ ส่งคนที่ฟอร์มดีที่สุด ณ เวลานี้ทั้ง ติอาโก้, บาจเซติช และ เกอิต้า 3 หนุ่ม 3 มุมที่เล่นกันอย่างลงตัวเมื่อกลางสัปดาห์
แต่ภาพที่ออกมาเป็น “หงส์แดง” ที่กลางถูกกลืนหายไปจนพวกแนวรับต้องเป็นฝ่ายตั้งเกมขึ้นมาเอง (ก่อนเสียซะเป็นส่วนใหญ่)
ท้ายที่สุด โคดี้ กัคโป หรือแม้กระทั่ง โม ซาลาห์ ยิงนกตกปลาทรงเดียวกับ ดาร์วิน นูนเญซ ไปพร้อมๆกัน
รับล่ก, กลางดีได้เท่านี้และหน้าไม่คม ได้ 1 แต้มนี่อย่างโล่งเลยนะครับ
ช่วงเวลาที่พีคที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ยกให้ต้นครึ่งหลังครับ เห็นๆเลยว่าโดน JK ว้ากมา ทุกคนลงสนามแบบมีจิตวิญญาณ วิ่งไล่บดใส่จน เชลซี ตกใจ
น่ารักดีนะครับที่ช่วงเวลาเจ๋งๆนี้กินเวลาแค่ 10 นาทีก่อนทุกอย่างกลับคืนร่างเดิม
สงสาร ฮาร์วีย์ เอเลียตต์ ที่แม้จะถูกดันขึ้นไปเล่นตัวบน (ฝั่งซ้าย) แต่น้องตื่นชัดเจน ไม่กล้าเล่นบอลเลย ถ้าไม่จ้องส่งคืนหลังก็จะรีบออกบอลให้พ้นตัว ซ้ายขึ้นเกมไม่ได้
แค่นั้นยังไม่พอ JK ปรับแท็กติกส์ดันลูกรักมายืนกลาง รูปเกมแย่หนักกว่าเก่าจนต้องส่ง 3 ผู้เฒ่าลงมาประคองในช่วงท้ายเกม
TAA ลงมาแทน มิลเนอร์ แต่ยังรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ จ่ายบอลเข้าทางฝั่งทีมเยือนรัวๆ น่าเวทนาจริงๆ
ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของทั้ง คล็อปป์ และ “ท่านรอง” ที่ดูภูมิใจกับคลีนชีตเกมนี้ จริงๆมันไม่ผิดนะครับเพราะอย่างน้อยมันก็นิมิตรหมายอันดี, เป็นปฐมบทอะไรก็ว่าไป
แต่คำถามคือเราได้มาอย่าง properly ถูกวิธีหรือไม่ ถ้าเปลี่ยนจาก เชลซี เป็นเจอทีมระบบจ๋าๆอย่าง ไบรท์ตัน หรือทีมหน้าคมๆมันจะไปจบที่กี่ลูก เท่าที่ดูแฟนบอลทีมตัวเองยังงงว่าเกมนี้ไม่โดนได้ยังไงเลยด้วยซ้ำ
ขอปิดท้ายดื้อๆ ท้ายที่สุดผมยังเชื่อว่าความบ้าคลั่งของ “เสี่ยท็อดด์” + ระดับฝีเท้าของนักเตะจะทำให้ เชลซี ค่อยๆทวงคืนพื้นที่เก่าของตัวเองได้แน่
ในขณะที่ “หงส์แดง” ฤดูกาลนี้เบื้องบนเขาปล่อยจอยแล้วแถมยังฝันลมๆแล้งๆกะรอปาฏิหาริย์แห่ง JK ซึ่งมัน out ตกยุคขายไม่ได้ไปนานแล้ว
ถ้าจะห่วยก็ห่วยให้สุดไปเลย อย่าถึงขั้นไปหยุดอยู่ที่ ยูโรป้า ลีก หรือคอนเฟอเรนซ์ลีก
แฟน ลิเวอร์พูล เขาอยากนอนเร็ววันพฤหัสครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ลิเวอร์พูล และ เชลซี ตอนนี้เจอกัน 3 นัดหลังสุดทุกรายการจบลงด้วยการเสมอกันแบบโนสกอร์
นี่เป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ยิงประตูไม่ได้ติดต่อกันนับตั้งแต่มีนาคม 2021
เยอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีมในฐานผู้จัดการทีมนัดที่ 1,000 (441 กับ ลิเวอร์พูล, 319 กับ ดอร์ทมุนด์ และ 270 กับ ไมนซ์)
นับตั้งแต่ debut กับ ลิเวอร์พูล โคกี้ กัคโป กลายเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกคนแรกที่มีโอกาสยิงมากที่สุดแต่ไม่เป็นประตูในทุกรายการ (12)
สเตฟาน บายเซติช เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกให้ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ เบน วู้ดเบิร์น ทำไว้แต่ถ้านับเฉพาะเป็นแข้งสเปน น้องเป็นรองแค่ เชสก์ ฟาเบรกัส เท่านั้น
“สิงห์” ไม่ชนะใครนอกบ้านในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่ 6 ติดต่อกัน ถือเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 เลยทีเดียว
นับตั้งแต่ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ขึ้นชั้นมาคุมทีมในพรีเมียร์ลีก ไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนเสมอ 0-0 มากไปกว่าเขาอีกแล้ว (17 เกม)
เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ลงเล่นให้ เชลซี ทุกรายการนัดที่ 500 เป็นนักเตะที่ไม่ใช่คนอังกฤษลงเล่นให้สโมสรมากที่สุดไปแล้ว
ที่มา: soccersuck