บทลงโทษ บอลไม่ปิดเกม

บทลงโทษ บอลไม่ปิดเกม

แม้ส่วนตัวจะแฮปปี้สุดๆกับผลเสมอที่ เอติฮัด แต่ก็เกลียดความรู้สึกของตัวเองที่ชอบคิดว่าแพ้ทีมอย่าง แมนฯซิตี้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร

อย่าแพ้เยอะให้คนอื่นเอามาล้อได้เป็นพอ ทัศนะคติอะไรแบบนี้ผมเอาออกจากหัวไม่ได้จริงๆ

พยายามเปลี่ยน mindset ตรงนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ด้วยความเป็น เป๊ป กวาดิโอล่า มันยากจริงๆและทำให้ “หงส์” ไม่เคยบุกมาชนะที่ เอติฮัด มาร่วม 8 ปีแล้ว

ในแง่ของผลการแข่งขัน…แน่นอนครับไม่ว่าทีมไหนในโลกบุกมาเอา 1 แต้มจากที่นี่มันคือความสำเร็จที่หรูหราหมาเห่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเบรกทีมชาติ!!

พัฒนาการเรื่องผลการแข่งขันของ ลิเวอร์พูล คือ “ผ่าน” แต่วิธีการเล่นในหลายๆมิติยังเป็นรอง “เรือ” อยู่พอสมควร

ก่อน อลิสซอน พลาดจนเสียประตูในนาที 27 ผมแอบชอบความอดทนและวินัยในเกมรับของลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่รูปเกมดูมีทิศทางหวังอะไรพอได้อยู่

TAA พลาดหนเดียวปล่อยให้ อาเก้ กระชากหนีต่อหน้าต่อตาในประตู 1-0 แต่โดยรวมผมเชื่อว่า เทรนต์ เกมรับแน่นขึ้นผิดหูผิดตา ไม่มีหลุดรุ่งริ่งและการออกบอลยาวช่วยทีมได้หลายหน

เกมนี้ต้องยอมรับด้วยว่าการ “เพรสซิ่ง” ของทั้ง 2 ทีมแตกต่างโดยสิ้นเชิง “เรือ” เพรสแย่งบอลกลับมาได้เกือบตลอด

ทุกครั้งที่ “หงส์” พยายามตั้งบอลจากหลัง พอเจ้าถิ่นยกระดับการเพรสแบบหนักๆเดี๋ยวก็ต้องสาดบอลยาวซึ่งวันนี้ “พ่อหมี” ทำเสียหลายครั้งรวมถึง มาติ๊ป หรือ Vvd เองก็มีให้เห็น

ตรงนี้ต้องบอกว่า ซิตี้ เขาเพรสถึงตัวและแย่งบอลเก่งมาก เมื่อแดนกลางโดนตามจนทำอะไรไม่ได้งานที่เหลือก็คือแนวรับที่ไม่มีทางเลือกนอกจากวางยาวขึ้นหน้า

ตรงกันข้ามกับ “หงส์” ที่ไล่ไม่ทั่วและโดนล่อให้ขึ้นมาเพรสจนกลางโบ๋ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สกอร์ตามหลัง อีกทีมเล่นช้าใจเย็นอีกทีมต้องพยายามวิ่งเข้าหาเพื่อบีบให้คู่ต่อสู้คายบอล

การขึ้นเกมของ “หงส์” มักเสียบอลกลางทางในขณะที่ “เรือ” เล่นเหมือนที่เล่นมาตลอดคือเน้นชัวร์แทบไม่เสียบอลเลยก่อนจะไปวัดได้เสียในพื้นที่สุดท้ายซึ่งต่อให้เสียก็ยังต้องฝ่าอีกหลายด่านกว่าจะถูก ลิเวอร์พูล สวนกลับ

สังเกตอีกอย่างคือการเลี้ยงกินตัวหรือการเอาชนะตัวต่อตัวของทีมเยือนนี่แทบไม่มี ต้องคอยแต่งบอลคืนเพื่อน

ในขณะที่ โดกู คนเดียวสร้างปัญหาให้นแนวรับ ลิเวอร์พูล อย่างหนัก ต้องใช้กำลังพล 2 คนคุมขวาซ้าย

และถ้าผมนับไม่ผิด “โดกู” เสียบอลตลอดทั้ง 90+8 นาทีไม่เกิน 2 หนแน่นอน เป็นปีกที่จับทางยากมาก ออกได้ทั้งเท้าข้างถนัดและกระชากไปเปิดที่เส้นหลัง คุม 3 ยังเอาไม่อยู่ โหดสัสจริงๆ

การเปลี่ยนจังหวะรับเป็นรุกต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล มีไม่เยอะแต่พอมีดันไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์

เคอร์ติส โจนส์ ยังติดนิสัยดึงช้าเหมือนเดิมทั้งๆที่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น เป็นการทำลายโอกาสตัวเองไปซะงั้น เห็นแล้วก็หงุดหงิด

ถ้าเล่นกับพวก ฟอเรสต์ หรือ เบิร์นลีย์ มันไม่ส่งผลอะไรมากเพราะถึงยังไงเดี๋ยวทีมก็ไปหาโอกาสได้จากจังหวะอื่นๆ

แต่กับ “เรือใบ” คุณทำแบบนั้นไม่ได้ JK เห็นปัญหาตรงนี้เลยรีบเปลี่ยนตัวตั้งแต่นาที 54

ความแตกต่างก็ตามที่เห็น กราเฟนเบิร์ก พาบอลขึ้นไปข้างหน้าเพื่อสร้างมูฟเมนท์ให้ทั้งเพื่อนและฝั่งตรงข้าม มันง่ายกว่าเยอะที่จะทำอะไรกับบอลหลังจากนั้น

ทั้งนี้ทั้งนั้น 1 แต้มในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหาก แมนฯซิตี้ บรรจงเน้นๆอีกซักลูกจากโอกาส 14 ที่เข้ากรอบแค่ 5

ผมเชื่อว่า เดอะ ค็อป รอมอบตัวกันแล้วเพราะวี่แววเม็ด 2 มันใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆ

แถมดันมาเกิดขึ้นในวันที่ “พ่อหมี” หลุดฟอร์มไปไกล ได้บอลแต่ละทีต้องยกมือไหว้อย่ามอบโชคเหมือนลูกแรก

ประตูของ TAA ส่วนนึงต้องชม กัคโป ที่วิ่งฉีกจนดึง แบร์นาโด ซิลวา ออกไป 1-2 ก้าว ฟังๆดูแล้วเหมือนน้อยแต่มากพอที่จะทำให้ “ท่านรอง” มีรันเวย์ยิงพอดิบพอดี

ประตูนี้นอกจากแย่งแต้มกลับ เมอร์ซีย์ไซด์ แล้วยังหยุดสถิติชนะรวดที่ เอติฮัด ทุกรายการของ “เรือใบ” ไว้ที่ 23 นัด อดขึ้นไปเทียบชั้น ซันเดอร์แลนด์ ที่ทำไว้ 24 นัดเมื่อปี 1890-1892

ภาพรวมของตารางคะแนนอันนี้มีความหมายมากๆ ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังตาม แมนฯซิตี้ 1 แต้มตามเดิมแทนที่จะเป็น 4 ถ้าเป็นอย่างหลังการเล่นไล่จับมันยากกว่ามากๆ กล่าวคือต้องรอให้ลูกทีมของ เป๊ป พลาด 1-2 เกมซึ่งโคตรเหนื่อยยยยย

เมื่อมองจากการที่ “ซิตี้” ควรปิดเกมสบายๆในวันที่ ลิเวอร์พูล ฟอร์มโดยรวมต่ำกว่ามาตรฐานนี่คือ 1 แต้มชุบแป้งทอดที่กรอบอร่อยเหาะของเหล่า เดอะ ค็อป จริงๆครับ……

สถิติ สถิติ สถิติ

ลิเวอร์พูล รอดพ้นจากความพ่ายแพ้เป็นนัดที่ 10 จาก 11 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีกเมื่อพวกเขาตกเป็นฝ่ายตามหลัง (ขนะ 4 เสมอ 6) ซึ่ง “หงส์” กอบโกยมากถึง 12 แต้มในสถานการณ์โดนนำมากกว่าทุกทีมไปแล้ว

วันนี้ เจเรมี่ โดกู เลี้ยงผ่าน 11 หน ถือว่ามากที่สุดในเกมเดียวนับตั้งแต่กันยายน 2021 (อดาม่า ตราโอเร่ พบ เบรนท์ฟอร์ด, 11 เท่ากัน) และหากนับเฉพาะการเจอกับ ลิเวอร์พูล โดกู เป็นผู้เล่นที่เลี้ยงผ่านมากที่สุดนับตั้งแต่ 2006-07

แมนฯซิตี้ ไร้พ่ายใน 51 เกมหลังสุดในลีกหากพวกเขาขึ้นนำคู่แข่งในช่วง “พักครึ่ง” (ชนะ 48 เสมอ 3)

เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยิงไปแล้ว 20 จาก 21 ทีมที่เขาลงเผชิญหน้าในพรีเมียร์ลีกโดยเหลือทีมเดียวที่ยิงไม่ได้คือ เบรนท์ฟอร์ด

นอกจากนี้ “จอมมารบลู” เป็นนักเตะที่ยิงครบ 50 ลูกในพรีเมียร์ลีกเร็วที่สุดจากการลงสนามเพียง 48 เกมเท่านั้น

ผู้เล่นที่ยิง 50 ประตูในพรีเมียร์ลีก

48 เกม – เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

65 เกม – แอนดี้ โคล

66 เกม – อลัน เชียร์เรอร์

68 เกม – รุด ฟานนิสเตลรอย

72 เกม – โม ซาลาห์ / เฟร์นานโด ตอร์เรส

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: