บอลยังไม่แพ้แต่หัวร้อนขาดสติ

เป็นอีกครั้งที่เกมฟุตบอลทั้งตบหน้าและสั่งสอนเราว่าจงอย่าสรุปสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเพราะแค่เหตุการณ์เดียวจากที่กำลังจะแพ้กลับมาแซงชนะได้ชั่วพริบตา

ศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟูแล่ม กำลังนับถอยหลังเพื่อไปเจอกับ ไบรท์ตัน ในรอบรองชนะเลิศ

ตรงกันข้าม แมนฯยูฯ รอโบกมืออำลาโอกาสคว้า “เทรปเปิ้ล แชมป์” ในฤดูกาลนี้เช่นกัน

หากใครได้ชมเกมนี้จะเห็นได้ว่า “เจ้าสัว” เล่นได้ดีจนเหนือกว่าเจ้าถิ่นทุกกระบวนท่า

การเล่นอย่างมีวินัยและทีมเวิร์คในจังหวะสวนทำเกมรุกเขี้ยวสุดๆ การเพรสเข้าบอลถึงเนื้อถึงตัวตลอด

ประตูพลิกขึ้นนำหลังเขี่ยครึ่งหลังมา 5 นาทีของ มิโตรวิช จึงทำให้เหล่า “เร้ดอาร์มี่” แทบเข่าอ่อนเพราะก่อนหน้านั้นรูปเกมก็ไม่ได้ดีอะไรเลย

อย่าว่าแต่คิดถึงประตูตีเสมอเลยครับแค่พาบอลเข้าไปหาโอกาสสวยๆยังยากเต็มกลืน

เหตุการณ์ “ดึงผีขึ้นจากหลุม” เกิดขึ้นในนาที 70 เมื่อ แอนโทนี่ ซูเปอร์ซับ ที่ ETH ส่งมาเปลี่ยนเกมได้หลุดโล่งๆมาทางขวาในจังหวะสวนกลับ

น้องแอนทำสิ่งที่เหลือเชื่อครับ แกจ่ายบอลตามสูตรฟุตบอลคือแทงไหลเข้าในให้ ซานโช่ ที่แตะหลบผู้รักษาประตูและหลอกกองหลังอีกคน

ลูกยิงโล่งๆที่ไม่มีผู้รักษาประตูถูก วิลเลี่ยน เคลียร์บนเส้นรอดตายหวุดหวิด

แต่ช้าก่อน มันคือกับดัก!!

VAR รีเพลย์ชัดเจนครับว่าอดีตแข้ง เชลซี เจตนาใช้มือบล็อกบอลลูกนี้ ยกขึ้นมาทำตัวให้ใหญ่ ดังนั้นตามกฏคือใบแดงสถานเดียว

กฏชัด เทคโนโลยี VAR ชัดแต่กลับมีคนไม่ยอม “มอบตัว”

ฝั่ง ฟูแล่ม “หัวร้อน” ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนวุ่นวายไปหมดและโดนใบแดงเพิ่มอีก 2 คน

เหยื่อกามรมณ์ต่อจาก วิลเลี่ยมส์ ได้แก่ มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีมและ มิโตรวิช คนยิงประตูและสร้างปัญหาให้ ยูไนเต็ด ได้มากที่สุดในวันนี้

โดย ซิลวา เป็นผู้นำเป็นคนที่ควรจะควบคุมอารมณ์ลูกทีมต้องกลับชิงเรียกใบแดงตั้งแต่ผู้ตัดสินยังไม่เดินมาดูจอมอนิเตอร์ด้วยซ้ำ

หมาแมวก็ดูออกว่ากำลังมากดดันผู้ตัดสินเพราะการที่มีการเดินมาดู VAR 99.99 % คือจุดโทษแน่นอน

ที่น่าตกใจหรือจะบอกว่าทุเรศที่สุดในเหตุการณ์นี้คือใบแดงของ มิโตรวิช ที่เดินไปชี้หน้าด่าผู้ตัดสินและใช้ศอกดันเหมือนที่นักบอลทะเลาะกัน

แกไม่รู้เหรอครับว่าผู้ตัดสินเนี่ยห้ามไปโดนตัวห้ามแตะตัวใดๆทั้งนั้น นี่พี่เล่นแทงศอกเลย

ถ้าสมัย analog ไม่มีจอ VAR การระเบิดอารมณ์ที่ ฟูแล่ม ทำอยู่ยังพอเข้าใจแต่ในเมื่อมีการพิจารณาแล้วผมมองว่าการกระทำของทั้ง ซิลวา และ มิโตรวิช ไร้ความเป็นมืออาชีพมากๆ

ไม่เคารพเพื่อนร่วมทีมที่กัดฟันวิ่งสู้ฟัดมาร่วม 70 นาที ไม่เคารพกติกาใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

ไม่เคารพแฟนบอลที่อุตสาห์ยกพลมาจากลอนดอนด้วยระยะทาง 341 กิโลเมตร เจอนักเตะตัวเองแสดงพฤติกรรมแย่ๆทำให้ทีมยกธงขาวแพ้ภัยตัวเอง

10 ตัวสกอร์ 1-1 เปลี่ยนหน้าเสริมกลางยันเสมอ หนทางไม่ใช่ไม่มี เผลอๆลงไปอุดเด็กผีจะหาช่องเจาะลำบากกว่าตอน 11 ตัวเท่ากันด้วยซ้ำแต่นี่ 9 ตัวกับเวลาที่เหลือร่วมๆ 20 นาที+อารมณ์ธาตุไฟแตก คนสั่งการไม่อยู่ข้างสนามอีก จะเอาอะไรไปสู้ครับ

จบสิครับ “ปีศาจแดง” มาแซง 2-1 ชนิดไวโคตรๆ มีการเปิดสถิติของ Opta ว่านับตั้งแต่ วิลเลี่ยมส์ ถูกใบแดงจนถึงลูกยิง 2-1 ของ ซาบิตเซอร์ ห่างกันเพียงแค่ 265 วินาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนที่ ยูไนเต็ด จะได้จุดโทษและได้เปรียบตัวผู้เล่น คนที่ยื้อสายออกซิเจนให้เจ้าถิ่นมาตลอดคือ ดาบิด เดเกอา

ทั้งเกมเซฟไป 4-5 ครั้งเห็นจะได้แต่ที่เหลือเชื่อและไม่ทำให้ทีมตามหลัง 2-0 คือลูกบิน “ควักกะปิ” ลูกโหม่งของ มิโตรวิช ที่ใครเห็นก็ว่าเสียบมุมแน่ๆ

ครับ “ปีศาจแดง” ในวันที่เล่นไม่ดีอยู่ดีๆได้รับส้มจากการที่ ฟูแล่ม ตบะแตกและทำตัวไม่ “โปร” ปาดหน้าชนะ 3-1 คว้าตั๋วตัดเชือกกับ ไบรท์ตัน ในวันเสาร์ที่ 22 เดือนหน้า

เป็นมิชชั่นที่สุดท้าทายเนื่องจาก “นกนางนวล” ณ เวลานี้เป็นทีมที่น่าจับตามองเอามากๆ ในวันเดียวกันเพิ่งตบ กริมสบี้ มา 5-0 ส่วนผลงานในลีกอยู่ที่ 7 มีลุ้นไป UCL เต็มตัวอีกต่างหาก

2 ทีมนีใครก็ได้ครับเหมาะสมทั้งคู่กับการเข้าไปชิงกับ แมนฯซิตี้ ที่แฟนบอล “เรือใบ” เตรียมจองโรงแรมที่อิสตัลบูลเอ้ย เวมบลีย์ ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว…

สถิติ สถิติ สถิติ

อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ยิงไปแล้ว 12 ประตูจากการลงสนาม 25 เกมทุกรายการในฤดูกาลนี้ นับเป็นฤดูกาลที่เขายิงประตูมากที่สุดเมื่อต้นสังกัดอยู่ในพรีเมียร์ลีก (ก่อนหน้านี้ยิงมากสุดแค่ 11 ลูกกจาการลงเล่น 39 เกมเมื่อฤดูกาล 2018-19)

จากใบแดงของ วิลเลียมส์ จนถึงตอน แมนฯยูฯ ขึ้นนำ 2-1 เวลาห่างกันเพียงแค่ 265 วินาที

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: