บอล 2-0 รอแพ้ “ชาก้า” จุดไฟในแอนฟิลด์

คำถามที่น่าจะยอดฮิตจากแฟนบอลหลังจบเกมคือถ้า ลิเวอร์พูล เล่นในครึ่งแรกให้เหมือนครึ่งหลังคงปิดเกมเอาชนะ อาร์เซนอล สบายๆไปแล้ว

แต่ผมขอย้ำเหตุผลอีกทีว่าที่ “หงส์แดง” ยังมีลมหายใจอยู่ถึงอันดับ 8 ในฤดูกาลนี้เพียงเพราะรอเสียงเชียร์จาก เดอะ ค็อป ที่สร้าง passion ให้ล้วนๆ

ประเด็นสารตั้งต้นของเรื่องทั้งหมดคือเสียงปลุกเร้า ใน แอนฟิลด์ ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากประตูตีไข่แตกของ โม ซาลาห์ ก่อนจบครึ่งแรก 3 นาที

แต่เป็นจังหวะที่ แกรนิต ชาก้า งัดกับ เทรนต์ และได้ใบเหลืองไปทั้งคู่

ผมไม่ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยลำพังครับแต่ได้รับการสนับสนุนจาก 2 นักเตะเก่าที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ให้ Sky Sports

ทั้ง เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯซิตี้ เห็นตรงกันว่า “หงส์แดง” ถูกจุดติดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

บรรยากาศเดือดระอุไม่ต่างจากยาปลุกเซกส์ให้แข้งเจ้าถิ่นตาโตจมูกบานวิ่งกันพล่าน

ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังเป็นลิงให้ “ปืนใหญ่” เคาะเล่นจนยิงนำ 2-0 แบบสบายตีนตั้งแต่ 28 นาทีแรกด้วยซ้ำ

ถือว่า ชาก้า ไม่ฉลาดเอาซะเลยเพราะพูดก็พูดยามนี้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมนอกสายตาไม่มีเอี่ยวกับการลุ้นแชมป์ใดๆ

ซึ่งตามปกติแล้วหากใครอยู่ในแวดวงลูกหนังมาตลอดจะเห็นได้ว่าสงครามน้ำลาย, สงครามจิตวิทยาหรือสารพัดความเดือดจะออกมาจากอริที่กำลังคั่วแชมป์กันอย่างตึงเครียด

มันต้องไปงัดกับ แมนฯซิตี้ และโอ๋ ลิเวอร์พูล ให้เป็นพันธมิตรสิครับเหมือนเล่นเกม FM ก่อนเจอฝั่งตรงข้ามต้องให้สัมภาษณ์น่ารักๆชมเชยเยอะๆ อย่าไปจุดให้เดือดสิ

ก่อนหน้าเหตุการณ์ 2-0 “หงส์แดง” เล่นสู้ไม่ได้เลยนะครับขอบอก กำลังจะหมดครึ่งแรก รอเสียงนกหวีดเข้าไปดวดสปอนเซอร์เย็นๆอยู่แล้วแท้ๆ

ในส่วนของเจ้าถิ่นน่าเสียดายตรงที่ครึ่งหลังการพับสนามเกือบข้างเดียวดันอับโชคเมื่อ ซาลาห์ พลาดจุดโทษในนาที 54

ลองจินตนาการดูเอาไว้หาก 2-2 และเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ผลพวงจากการพลาดจุดโทษทำให้ “บัง” สมาธิหลุดกลายเป็นเล่นบอลแปลกๆ หมดความมั่นใจไปเลย

จนกระทั่งกว่าจะได้ประตูก็เล่นมาซะแบบโคตรเลทก่อนหมดเวลา 3 นาทีจาก บ๊อบบี้ ฟีร์เมียโน่ ตัวสำรอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นกับ “ปืนใหญ่” ที่จู่ๆช็อตฟีลและรับมือกับความบ้าคลั่งของ “หงส์แดง” ไม่อยู่

ส่วนนึงต้องบอกว่า โกนาเต้ งัดฟอร์มระดับโลกทั้งชนทั้งกวาดเก็บเรียบ ส่งผลทำให้เกมเบี้ยวข้างเดียวและผลักดันให้ เทรนต์ ฉายแสงเติมเกมบุกแบบเต็มตัว

เกมที่ แอนฟิลด์ จะดราม่ากว่านี้หากทดเจ็บนาทีที่ 5 อีบู สวมบทฮีโร่ยิงประตูชัยแต่ด้วยปฏิกริยาของ แรมส์เดล ที่ทำให้ต้องแบ่งแต้มด้วยความมันเดือดทะลุปรอทกันไป

ครับในแง่ของกลยุทธิ์ฟุตบอลผมเชื่อและเชื่อเหลือเกินว่า มิเกล อาร์เตต้า พยายามสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบเดิม

จากบทสัมภาษณ์ที่อ่านผ่านๆคือ “พรี่ต้า” เชื่อถ้าช่วงต้นครึ่งหลังเล่นให้เหมือนครึ่งแรกซัก 15 นาที “ปืน” ชนะแน่

แต่คนเป็นโค้ชกับผู้เล่นมันสถานการณ์ต่างกันยามอยู่ในสนาม

การเจอคู่ต่อสู้ที่เล่นในบ้านและไม่อยากแพ้ต่อหน้าแฟนบอล พลังลูกบ้ามันทำให้ผู้เล่นทำตามที่โค้ชสั่งไม่ไหวหรอกครับ

และต้องไม่ลืมด้วยว่านักกีฬาย่อมอยากรักษาสกอร์ที่นำอยู่ มันต่างจากตอนที่เสมอกันอยู่ เริ่มต้น ณ จุดนั้นยังไม่มีเรื่องของ emotional อยู่ในสมการ

ฟุตบอลบางทีก็ตลกนะครับ ครึ่งแรกเหมือน ลิเวอร์พูล เป็นผู้ร้ายที่จะกำราบพระเอกอย่าง อาร์เซนอล

ใช้แรงนำฝีเท้าเพราะสู้ไม่ได้ วิ่งไม่เจอบอล การจะโค่นผู้เล่น “จ่าฝูง” ซักคนต้องเรียกพวกมาช่วย คนเดียวไม่ไหว

อะไรทำนองนี้เป็นเหตุที่ทำให้เสียลูก 2-0 ที่โกนาเต้ ต้องคอยเป็น baby sister เป็นพี่เลี้ยงให้ เทรนต์ ด้วยการทิ้งตำแหน่งเซนเตอร์ไปเป็นแบ็ค

การเสียประตูจากการถูกครอสเข้ามาโต้งๆแบบนี้โดยที่เขายืนอยู่คนเดียวแถมเตี้ยอีกต่างหาก เป็นอะไรที่ถูกหยามน้ำหน้าสุดๆ

เฉกเช่นเดียวกับลูก 1-0 มันเหมือนที่เราเห็นกันมาตลอดคือถ้าแผงหลังใครซักคนพรวดเมื่อนั้นตำแหน่งอื่นๆกลายเป็นผึ้งแตกรังบอลถึงหน้าประตูทันที

ครับ 1 แต้มที่ “ปืนใหญ่” ได้ออกไปนั้นไม่ขี้ริ้วขี้เหร่หากมองถึงรูปเกมในครึ่งหลังที่โงหัวแทบไม่ขึ้น

อาจจะรู้สึกดีมากขึ้นไปกว่านี้อีกหากเลือกมองในมุมที่ว่า แมนฯซิตี้ เคยบุกมาแพ้เมื่อต้นซีซั่นและ แมนฯยูฯ โดนไปถึง 7-0

แค่สถานการณ์ลุ้นแชมป์กับ “เรือใบ” ตึงมือมากกว่าขึ้นกว่าเดิมเพราะตอนนี้นำอยู่ 6 แต้มและเตะมากกว่า 1 เกมโดยที่ทั้งคู่ยังต้องเจอกันอีกในปลายเดือนนี้

ในขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล ความสุขเล็กๆน้อยๆที่เหลืออยู่ ไม่ขออะไรมากแค่สู้ให้แฟนบอลเห็น ไม่รู้สึกอับอายชาวโลกก็พอแล้วครับ

จากบอล “รอแพ้” ในครึ่งแรกแต่คัมแบ็คชนิดได้ใจ เดอะ ค็อป อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เป็นวันจันทร์ที่แสนหดหู่ของเหล่า เดอะ ค็อป

แม้อารมณ์ขึ้นๆลงๆจะกลับมาอีกในเร็วๆนี้เมื่อต้องออกไปเป็นทีมเยือน เป็นสิ่งที่พวกเราต้องยอมรับความจริงกันให้ได้แล้วคุณจะไม่เครียดกับมันครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

นี่เป็นหนแรกที่ อาร์เซนอล ยิงห่าง ลิเวอร์พูล ใน แอนฟิลด์ ถึง 2 ลูกในพรีเมียร์ลรกนับตั้งแต่กันยายน 2012 ซึ่งเป็นหนสุดท้ายที่พวกเขาบุกมาเอาชนะได้ในลีก (2-0)

อย่างไรก็ตาม “ปืนใหญ่” ไม่ชนะที่นี่ 10 ฤดูกาลติดต่อกันโดยแบ่งเป็นเสมอ 3 และแพ้อีก 7 โดยที่แต่ละเกมโดนยิงอย่างน้อย 2 ลูก

ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่ชนะคู่แข่งหลังยิงขึ้นนำเป็นหนที่ 3 ในซีซั่นนี้โดยก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ เบรนท์ฟอร์ด

ประตู 1-0 ของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ เป็นลูกที่ 25 ในพรีเมียร์ลีกของเจ้าตัวทำให้ครองสถิติร่วมกับ กราเบียล เชซุส ในฐานะนักเตะอเมริกาใต้ที่ยิงแตะตัวเลขนี้ในขณะที่อายุ 21 หรือน้อยกว่า

ไม่มีนักเตะคนไหนที่ยิงประตูใส่ อาร์เซนอล ในพรีเมียร์ลีกโดยไม่นับจุดโทษได้มากไปกว่า โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ อีกแล้ว (10 ประตู)

ลิเวอร์พูล ได้โอกาสยิงในเขตโทษของ อาร์เซนอล ถึง 19 หน กลายเป็นทีมแรกที่กระหน่ำไม่พักในเขต 18 หลานับตั้งแต่ opta เก็บสถิตินี้เมื่อปี 2003-04

“หงส์แดง” แพ้แค่ 1 จาก 37 เกมในพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ (ชนะ 27 เสมอ 9) โดยหนเดียวโดน ลีดส์ เปิดซิงเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

– ทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล ยิงใส่กันรวมมากถึง 184 ประตู (พรีเมียร์ลีก) ทำให้ทั้ง 2 ทีมครองแชมป์ยิงประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์รายการนี้เรียบร้อย

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: