พลาดเกมใหญ่ บทเรียนเด็กปืน
หากคุณเริ่มต้นจะวางแผนอะไรก็ตามกับการเจอทีมอย่าง แมนฯซิตี้ สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ก่อนคือห้ามพลาดโง่ๆ
เพราะถ้าสกอร์เป็นรองแล้วระบบของ เป๊ป ไม่เคยปราณีใคร
แต่ อาร์เซนอล ในซีซั่นนี้เราไม่ค่อยได้เห็น “ภาพกีฬามันๆ” ดันแพ้ภัยตัวเองเลือกพลาดผิดวันผิดเวลาทำเสียกันเองในเกมเดียวถึง 2 ประตูก่อนแพ้คาบ้าน 3-1
ลูกแจกโชคช็อกทั้งสนามในนาที 21 ของ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (โอกาสแรกของ ซิตี้ และเป็นประตูทันที) ควรเป็นช็อตเตือนสติแนวรับ
แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้นสิครับ
กาเบรียล ที่วันนี้ฟอร์มหลุดเป็นบ่อน้ำมันถูกขุดกระจาย ก่อนหน้านั้นโชคดีรอดตัวจากการทำเสียจุดโทษ (VAR จับฮาลันด์ ล้ำหน้า)
แต่ความล่กตามมาหลอกหลอนฝืนเล่นยากจ่ายเสียหน้าเขตโทษส่งผลทำให้โดนยิง 2-1 และรูปเกมขาดวิ่นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
น่าเสียดายแทนแฟน เดอะ กันเนอร์ส เพราะรูปเกมโดยรวม “ปืนใหญ่” ถือว่าข่มพอสมควร เล่นงานซะจน ซิตี้ พาบอลเข้ามาในเขตโทษไม่ได้เลยจนกระทั่งมาพลาดและโดน เดอ บรอยน์ ลงโทษนั่นแหละ
มากไปกว่านั้นหาไม่ง่ายเลยนะครับที่ทีมของ เป๊ป จะจบเกมด้วยการครองบอลน้อยกว่าคู่แข่ง
มีการเปิดเผยสถิติออกมาว่า “เรือใบ” เป็นรองที่ 36-64% ซึ่งตลอดอาชีพการคุมทีมใหญ่ของ เป๊ป ไม่เคยย่อยยับขนาดนี้มาก่อนเลย
การไร้ชื่อ โธมัส ปาเตย์ ทำให้ อาร์เซนอล ขาดตัวเบรกเกมคนสำคัญในเกมนี้ก็จริงแต่ผมขออนุญาตข้ามประเด็นนี้เมื่อต้องมองถึงที่มาของการเสีย 2 ประตูที่ไม่เกี่ยวกับการมีอยู่ของแกแต่อย่างใด
ในขณะที่แนวรับไม่ช่วยอะไรในเกมนี้เกมรุกเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ “ปืนใหญ่” แพ้แบบยอม “มอบตัว” แต่โดยดี
เอ็ดดี้ เอ็นเคเตียห์ ทิ้งโอกาสเหน่งๆทั้งครึ่งแรกและครึ่งหลังชนิดเหลือเชื่อ ในขณะที่ไม่มีใครทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อบอลอยู่หน้าเขตโทษ
ทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปของประสิทธิภาพเกมรุกของ พลพรรค “ปืนใหญ่” ที่มีโอกาส 10 ครั้งเข้ากรอบหนเดียวและนั่นคือจุดโทษของ ซาก้า!!
เปรียบเทียบกับฝั่งทีมเยือนที่ช่วงแรกยิงน้อยกว่าครองบอลน้อยกว่าแต่เมื่อถึงช่วงเวลา “นาทีทอง” แข้งขาเริ่มอ่อนสามารถฉวยโอกาสเป๊ะๆ 2 ประตูใน 10 นาทีของครึ่งหลัง
สกอร์ตามหลัง ผู้เล่นเจ้าถิ่นเริ่มใช้พลังมากกว่าสมอง พยายามวิ่งไล่แต่ไล่เท่าไหร่แทบไม่เจอบอล
ท้ายที่สุดต้องยอมรับสภาพกันไปว่า “อดีตจ่าฝูง” แพ้ในเกมที่ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเอง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ
นอกจากเรื่องของเกมรุกและรับซึ่งแตกต่างกันแล้วอีกจุดนึงที่ภาพชัดเจนมากๆคือหลัง เป๊ป และ เป๊ปน้อย มีตำราสู้รบฉบับเดียวกัน
เราจึงเห็นการประลองกำลังภายในว่าด้วยการสาด “เพรส” เข้าใส่กันเป็นอะไรที่โคตรมัน
เกมเร็วและบี้กันแนบเนื้อชนิดแทบลืมหายใจ จากที่เปิดดูสลับคู่ UCL ระหว่าง ดอร์ทมุนด์ กับ เชลซี กลายเป็นแช่อยู่ที่ เอมิเรสต์ สเตเดียม ยาวๆ
ปรากฏเป็น “เรือใบ” ที่ทำให้เจ้าถิ่นออกอาการแกว่งได้มากกว่า ประตูที่ โทมิยาสุ พลาดก็มาจากการเพรสขง แจ็ค กรีลิช ทำให้การคืนหลังของแข้ง ญี่ปุ่น ไม่มีเวลาเหลียวมอง KDB
การเพรสหนักๆกัดไม่ปล่อยแม้กระทั่ง ซินเชนโก้ ที่เป็นคนนิ่งสุดๆในหน้าเขตโทษกลับออกอาการตีนลั่นเกือบมอบโชคให้คู่แข่งไปอีกคน
จุดโทษในนาที 42 ของ ซาก้า ที่ตอนแรกทำท่าจะเป็นประเด็นถกเถียงอันดับ 1 ของชาวโซเชี่ยลหากจบที่การพลิกชนะของเจ้าบ้านหรือแบ่งแต้ม
แต่ในเมื่อแพ้ขาด 3-1 การดีเบตจึงดูเบาบางไม่ค่อย impact เท่าไหร่ คือมีไม่มีก็แพ้อยู่ดี
เท่าที่ผมเช็กๆมาเสียงค่อนข้างแตกแต่เอาจริงๆลูกนี้ไม่ได้ตัดสินยากอะไร ไม่ต้องมองไปคิดให้ซับซ้อน คือถ้าผมเป็นกรรมการ ลูกนี้ผมไม่ให้จุดโทษครับ
เอ็นเคเทียห์ ยิงบอลไปแล้ว การชนกับ เอแดร์ซอน จึงเป็นแรงเฉื่อยที่ไม่มีผลใดๆต่อลูกยิงที่ออกจากเท้า
แต่มันจะเป็นจุดโทษแน่ๆครับหาก “เอ็นข้อไก่” แตะหลบ/เลี้ยงหลบหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การยิง มันจะเข้าข้าย เอแดร์ซอน ขัดขวางการเล่นของฝ่ายรุกทันที
อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าทีมงานผู้ตัดสินกำลังพยายาม “ชดใช้” บาปกรรมที่เคยทำกับ “ปืนใหญ่” เอาไว้ในเกมเสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด หรือเปล่า
ในขณะที่ ซิตี้ เองพิสูจน์แล้วว่าความสั่นคลอนนอกสนามไม่ส่งผลใดๆต่อฟอร์มในสนามโดยผู้นำอย่าง เป๊ป สามารถสื่อสารกับลูกทีมได้ดีเอามากๆ
ครับการแพ้คาบ้านครั้งนี้ทำให้ อาร์เซนอล หล่นมาอยู่ที่ 2 ด้วยผลต่างประตูได้เสีย
การไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกมีแววเข้มข้นเมื่อ “ตาอยู่” อย่าง แมนฯยู ที่ได้ผลการแข่งขันในฝันทำให้พวกเขาตามหลังจ่าฝูงไม่ห่างเลยแค่ 5 แต้ม
ก่อนทิ้งท้ายกันไปถือโอกาสขอโทษแฟน อาร์เซนอล ที่เคยโยนขี้ชิงออกตัวประกาศให้ “กรี๊ด” มันออกมาตอนนำจ่าฝูงทิ้งกระจาย
แน่นอนหากนับเฉพาะเกมนี้นี่ไม่ใช่ “ปืนใหญ่” ที่เราเคยเห็นและสมควรแพ้โดยประการทั้งปวง
แต่มันใช่เรื่องเหรอครับที่แฟนบอลจะถอดใจกันดื้อๆในเมื่อยังมีอีก 1 เกมในมือ
และผมก็ไม่เชื่อว่าเด็กๆของ อาร์เตต้า จะพร้อมใจกันหลุดแบบนี้อีก มันเป็นปัญหาที่จับต้องและแก้ง่ายมากหากคำนวณจากมาตรฐานของ “ปืนใหญ่” ทั้งซีซั่น
อย่างน้อยๆมองในแง่ดี individual errors เกิดขึ้นในเกมที่ 22 ไม่ใช่ 32 ยังมีเวลาให้รีกรุ๊ปและแมทช์ให้แก้ตัวเหลือๆครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
เกมนี้เป็นเพียงครั้งที่ 3 ในประวัติศาตร์พรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่ทีมอันดับ 2 เอาชนะทีมอันดับ 1 ก่อนแซงขึ้นเป็นจ่าฝูงในช่วงกลางซีซั่นโดยก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมา 2 ครั้งเกม เชลซี พบ แมนฯยูฯ ปี 2010 และ แมนฯซิตี้ พบ แมนฯยูฯ ปี 2012
เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยิงไปแล้ว 26 ประตูในพรีเมียร์ลีกทำสถิติทาบ กุน อเกวโร่ ที่ทำไว้เมื่อซีซั่น 2014-15
เควิน เดอ บรอยน์ แอสซิสต์ให้ ฮาลัดน์ ไปแล้ว 6 เม็ดในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ เป็นคู่หูที่ถวายพานให้มากกว่าคนไหนๆไปแล้ว
KDB ยิงประตูใส่ อาร์เซนอล ในลีกได้เป็นลูกที่ 6 แล้ว เป็นตัวเลขสูงกว่าทุกทีมที่เขายิงได้ไปแล้ว
แจ็ค กรีลิช ฟอร์มมาแรงจัดเพราะก่อนบอลโลกเจ้าตัวทำไปได้แค่ 1 ประตูและ 0 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้แต่พอพ้นเบรกกลับมาแข้งทีมชาติ อังกฤษ จัดไป 2 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์จากการเล่น 9 เกมเท่านั้น
แมนฯซิตี้ ครองบอลแค่ 36% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดในอาชีพการคุมทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า เลยทีเดียว
เป๊ป กวาดิโอล่า เอาชนะ มิเกล อาร์เตต้า ได้ถึง 8 จาก 9 เกมที่เจอกันในทุกรายการ (แพ้ 1)
อาร์เซนอล แพ้ แมนฯซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก 11 เกมรวด เป็นสถิติที่ไม่ชนะคู่แข่งทีมเดียวที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
บูกาโย่ ซาโก้ ยิงจุดโทษให้ อาร์เซนอล 4 ครั้งเป็นประตูทั้งหมดแถมทั้ง 4 ลูกยิงใส่แต่พี่เบิ้มอย่าง เชลซี, แมนฯยูฯ, ลิเวอร์พูล และล่าสุด แมนฯซิตี้
ที่มา: soccersuck