รอโดน > เกือบชนะ > ฝันสลาย
เป็นเกมแปลกประหลาดที่อารมณ์แฟนบอลตีกันจนมั่วไปหมดหลัง เบรนท์ฟอร์ด และ แมนฯยูฯ เกิดดราม่าเอาในช่วงทดเจ็บ
เมสัน เมาท์ ยิงนำในนาที 90+6 และเมื่อพูดถึงช่วงเวลาที่เป็นใจขนาดนี้ประตูชัยสิครับรออะไร
เป็นการฉายหนังม้วนเดิมหลังเดือนตุลาคมปีที่แล้ว สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ เป็นฮีโร่ยิงประตูช่วงทดเจ็บ 2 ลูกรวด (90+3 และ 90+7) เสียงเชียร์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดดังสนั่นลั่นทุ่ง
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น….ลับหลังแค่ 3 นาที 90+9 ซึ่งเป็นทดเจ็บนาทีสุดท้าย “ผึ้งน้อย” ตามตีเสมอดับฝันการล่าตั๋ว UCL ล้มทั้งยืน
อย่างไรก็ตามหากเลือกได้แฟน “ปีศาจแดง” อยากให้เกมมันควงแขนเสมอ 0-0 มากกว่าจะมาให้ความหวังเพียงแค่ 2-3 นาที
นั่นหมายถึงจะได้ด่าทีมตัวเองโดยไม่ต้องรู้สึกค้างคาหรือเสียดายกับ 3 แต้มที่หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
ถามว่าสิ่งที่ควรจะเป็นจริงๆในเกมนี้คืออะไร?
ครับ เบรนท์ฟอร์ด ควรเก็บชัยชนะได้อย่างง่ายดายเพราะฟอร์มวันนี้ของพวกเขานึกว่ากำลังต้องการชัยชนะเพื่อแซงขึ้นจ่าฝูง!!
กล่าวคือลูกทีมของ โธมัส แฟร็งค์ เล่นเหมือนไม่ใช่ทีมอันดับ 15 ที่แพ้ถึง 17 จาก 30 เกมในฤดูกาลนี้
แต่กระนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจเช่นกันที่ทำไม “ผึ้งน้อย” ถึงอยู่อันดับ 15 เพราะเป็นทีมที่เผาผลาญพลังงานการจบสกอร์ได้สิ้นเปลืองฉิบหายเลยครับ
2 เสา 2 คานและโอกาสมากมายนับไม่ถ้วนถึง 31 ครั้งแต่ไม่มีประตูซักลูกเดียว
ยิงจนตีนบวม แฟนบอลร้องเก้อมาร่วม 90 กว่านาทีก็ยังไม่ได้เฮซักที
ในขณะที่ ยูไนเต็ด พูดได้ว่าหลังพิงฝาโดนขึงโดนนวดเจียนอยู่เจียนไปแทบไม่ได้บุก (จนกระทั่งลืมตาอ้าปากท้ายเกมและทดเจ็บ)
สถิติที่น่าตกใจจากกราฟฟิคถ่ายทอดสดโชว์ตัวเลขหลังเกมเดินทางมาถึงนาที 80 กว่าๆ
คือโอกาสสัมผัสบอลในเขตโทษของ เบรนท์ฟอร์ด สูงถึง 73 ครั้งส่วน ยูไนเต็ด 11
ห๊ะ เล่นอีท่าไหนคู่ต่อสู้ถึงพาบอลเข้ามาถึงเขตโทษเยอะขนาดนั้น เกิดมาไม่เคยเห็น!!
ประตูตีเสมอของเจ้าถิ่นต้องยืนปรบมือให้ ไอแวน โทนีย์ กองหน้า “บอลชุด” ที่โคตรนิ่ง “ดูด” บอลที่ลอยโด่งในเขตโทษนิ่มนวลจนเป็นที่มาของประตูมันตีนของ คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์
Skill และวิธีการเล่นที่รอบจัดขนาดนี้ซัมเมอร์นี้ถูกรุมทึ้งแน่ๆโดยเฉพาะเข้าสู่สัญญาปีสุดท้าย (2025) จังหวะดีมากในการต่อรองเรียกราคาสมน้ำสมเนื้อ
ครับสำหรับ ยูไนเต็ด นี่เป็นความชอกช้ำในรูปเกมที่สู้กันไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงแถมสร้างความเบื่อหน่ายที่แฟนบอลต้องมาเห็นการ “วนลูป” เรื่องเดิมๆ
ทีมรักเล่นบอลสามสลึงแถมเวลา kick off ก็ดันสุดพิสดารตี 3 ของวันเสาร์ยิ่งสะสมความหงุดหงิดให้แฟนบอลหนักเข้าไปอีก
ต้องทนเห็นภาพจำเจของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ดื้อด้านเลี้ยงฝ่าคู่ต่อสู้ที่รอดักถึง 2-3 ตัวจนเกมพังยับ เวทนาสุดๆ
การได้นั่งดู “ปีศาจแดง” ยุค ETH ทำให้ผมได้กลิ่นสมัย ลิเวอร์พูล ยุค ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ผู้เล่นและแฟนบอลต้องสร้างแรง “จูงใจ” กันเองเมื่อลงเล่นในเกม “big match” แต่พอเจอทีมเกรดต่ำกว่าฟอร์มเน่าในต้องปาดเหงื่อตลอด
ดังนั้นผมขอสรุปตรงนี้เลยว่า 2 เกมต่อไปที่เจอ เชลซี ในวันพฤหัสที่จะถึงนี้และรีแมทช์กับ ลิเวอร์พูล ในวันอาทิตย์ เราจะได้เห็น “ปีศาจแดง” ในฟอร์มที่ไม่ใช่แบบเสมอ เบรนท์ฟอร์ด แน่นอน
ส่วนเหตุการณ์หลังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมเชื่อว่า เร้ดอาร์มี่ รู้ดีกว่าผมครับ…
ที่มา: soccersuck