วันที่คลับไก่รอคอย พอชจัดตัว/ทรงบอลเละเทะ
ในที่สุดสิ่งที่ สเปอร์ส พยายามมาตลอด 5 นัดมาสำริจผลในเกมที่ 6 นั่นคือการยิงลูก 2 ปิดเกมคว้าชัยได้ซักที
ตลอด 5 นัดวิปโยคของ “คลับไก่” นำชาวบ้านชาวช่องตลอดแต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ถึง 4 จาก 5 นัด (อีกเกมเสมอ แมนฯซิตี้)
เคยแม้กระทั่งยิงตั้งแต่ไก่โห่นาทีที่ 3 แต่ปล่อยให้สกอร์ 1-0 ค้างอยู่ยันทดเจ็บและแพ้ วูลฟ์ 2-1 ในนาที 90+1 และ 90+7
รวมถึงเกมก่อนถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-1 พับสนามยำใหญ่ใส่ เวสต์แฮม ข้างเดียวแต่ประตูนำในนาที 11 ลงเอยอีหรอบเดิม โอกาส 23 หนตลอดทั้งเกมไม่ช่วยอะไรมากไปกว่านี้
ครับวันที่รอคอย 3 แต้มแรกนับตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนหรือ 2 เดือนเต็มๆมันมากเกินไปสำหรับทีมเล่นบอลเอนเตอร์เทน
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ประสบภัยอย่าง “สาลิกา” ต้องบอกว่ามาในสภาพที่หากเป็นโรตีบังคงทอดให้ “กรอบๆ”
ตะบี้ตะบันเตะสัปดาห์เว้นสัปดาห์ทั้งในลีกและ UCL ซึ่งมีคิวเจอ เอซี มิลาน เกมสุดท้ายในบ้านทิ้งท้ายอีกด้วย
อาการบาดเจ็บบีบบังคับให้ เอ็ดดี้ ฮาว แทบโรเตชั่นไม่ได้ ดังนั้นเกมนี้เห็นได้ว่านักเตะล้าและเปื่อยสุดๆ
สภาพผู้เล่นเป็นปัญหาหลักก็ส่วนนึงแต่ฟอร์มของ เคียร์ราน ทริปเปียร์ ต้องบอกว่าช่วงนี้คือบ่อน้ำมันดีๆนี่เอง
เกมพ่าย เอฟเวอร์ตัน เละ 3-0 เฟอะฟะแจกคนเดียว 2 ลูกและยังไปยืนห้อยจนเขาไม่ล้ำหน้าปิดท้ายกันไป
ล่าสุดโดน ซน เฮือง มิน เผาเครื่องตรง แบ็คขวาทีมชาติ อังกฤษ โดนไปอีก 2 เม็ดจุกๆ
การจัดตัวของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ถือว่าตรงจุดสุดๆเพราะการถ่าง ซน ฝั่งซ้ายและให้ ริชาร์ลิซอน ยืนหน้าเป้าสร้างปัญหาให้แนวรับ “สาลิกา” ป่วนยับๆ
กล่าวคือยามที่ต้องล้วงบอลต่ำ ซน สามารถเล่นบอลจังหวะเดียวให้เพื่อนได้เปรียบทันที การเพรสของทีมเยือนกลายเป็นหลุดตำแหน่ง
ยิ่งมี คูลูเซฟสกี้ ยืนเป็นหน้าต่ำในระบบ 4-2-3-1 ด้วยแล้วตัวเลือกในการจ่ายของ ซน ที่นับวันยิ่งเหมือน แฮร์รี่ เคน จึงคลิกสุดๆ
แม้จะแพ้มาอย่างต่อเนื่องแต่ แอนจ์ ยืนกรานว่าไม่สนใจและขอเล่นเกมรุกตามปรัชญาตัวเอง่ตอไป
ดังนั้นทุกๆครั้งที่ปูพรมเข้าใส่เราจะได้ว่าเซนเตอร์ยืนระวังหลัง 2 ตัว (โรเมโร่ กับ เดวีส์) ปล่อยให้ ปอร์โร่ และ อูโดกี้ มาช่วยเกมรุก
หลายๆจังหวะเราจึงเห็นเสื้อสีขาวดาหน้าพร้อมๆกัน 6-7 ตัวซึ่งเกมนี้หายห่วงเข้าไปอีกเมื่อต้องโดนสวนกลับเพราะ อีฟ บิสซูม่า และการกลับมาของ ซารร์ ที่ทั้งไวและถึกผนึกกำลังได้อย่างหมดจด
การคัมแบ็คสู่ชัยชนะหนแรกในรอบ 6 เกมยังไม่สายเกินไปสำหรับชาว “คลับไก่” อันดับที่ 5 และตาม “จ่าฝูง” ลิเวอร์พูล แค่ 7 แต้มไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ (ถ้าไม่ไปแพ้รัวๆอีกรอบ)
ประเด็นดราม่าเดียวในเกมนี้คือการเข้าบอลอย่างโหดของ โรเมโร่ (อีกแล้ว) เหยียบเปิดปุ่มใส่ข้อเท้า วิลสัน (ที่เพิ่งหายเจ็บ) โดยที่บอลกับอยู่คนละจุดเลย รอด VAR ไปได้ยังไงไม่รู้
เช่นเดียวกับ นิวคาสเซิ่ล ยังพอตบๆให้เข้าที่เข้าทางได้อยู่หลังเริ่มได้นักเตะเจ็บทยอยกลับมาอย่างเกมนี้ คัลลัม วิลสัน และ ชอน ลองสต๊าฟ กลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองได้แล้ว
แต่คงต้องรออีกพักใหญ่ๆครับเนื่องจากอย่างที่บอกมีเกม UCL กลางสัปดาห์มาต่อในลีกเสร็จยังต้องเล่น คาราบาว คัพ รอบ 8 ทีมกับ เชลซี ต่อจากนั้นก็ boxing day กว่าคลื่นจะสงบต้องนู่นเลยครับปีใหม่
คู่ 3 ทุ่มต้องบอกว่าอารมณ์แฟน เชลซี ร้อนได้ที่หลังแพ้ เอฟเวอร์ตัน 2-0 แบบเล่นกันก๊องแก๊งมาก
เจอเพรสหนักๆหน่อยไปกันไม่เป็น แดนหน้าคุณภาพไม่ถึงจริงๆครับ เกมแบบนี้ตัวบนๆมีความสำคัญมากที่จะช่วยพลิกสถานการณ์ที่กว่าหลังและกลางจะเข็นบอลเลยขึ้นมา
อย่าง โบรย่า เนี่ย เอ็นโซ ทำอะไรมาให้ 40 ที่เหลือ 60 เอาไปทำต่อแต่ประสิทธิภาพมันไม่ได้กลายเป็นเก็บบอลทำอะไรไม่ได้
รีส เจมส์ วันนี้เจ็บอีกแล้ว โควิลล์ ต้องถูกส่งมายืนแบ็คซ้ายแล้วสลับ คูคู่เรญ่า ไปยืนเป็นแบ็คขวา มึนๆเมาๆกันไปอีก
การวางตำแหน่งผู้เล่นเป็นอีกจุดที่แฟน “สิงห์บลู” เบื่อหน่ายกับ ปอเชตติโน่ เอามากๆ ป่านนี้แกยังไม่มีตำแหน่งในใจที่แน่นอนเลย
เอนโช่ ที่แกะเพรสและวางบอลยาวดีถูกดันไปเล่นสูงแถมเล่นไปเล่นมาค่อยๆออกริมเส้น มุมการจ่ายบอลแคบเข้าไปอีก พ่อแม่รังแกฉันจริงๆผับผ่าสิ
ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามาคือความห่วยของ เชลซี แต่เราต้องไม่ลืมปรบมือยกย่องขุนพล “ท๊อฟฟี่เมน” ด้วยนะครับ
คือนับตั้งแต่โดนตัด 10 แต้มเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนจนหล่นไปอยู่รองบ๊วย เตะ 12 เกมมี 4 แต้มแถมเริ่มต้นเกมแรกหลังทราบข่าวร้ายก็แพ้ แมนฯยูฯ คาบ้าน 3-0 ชีวิตมืดมนเข้าไปอี๊ก
แต่ไม่ทราบว่า ชอน ไดซ์ แกไปปลุกใจอีกท่าไหน passion และความมุ่งมั่นของผู้เล่นจู่ๆก็ตูมเป็นโกโกครั้นซะงั้น
เล่นบอลกันอย่างนิ่ง, ทีมเวิร์คความสามัคคีมาเต็ม, นักเตะบางคนยกระดับการเล่นขึ้นมาดีผิดหูผิดตา (แม็คนีล, ดูคูเร่, แฮร์ริสัน) และที่สำคัญวิ่งบ้าระห่ำแบบไม่มีหมดจนผลกำไรตอบแทนได้กลับมาคุ้มเหลือเกินกับ 3 นัด 9 แต้มเต็ม
นอกจากชนะ ฟอเรสต์ แล้ว 2 เกมล่าสุดเอาชนะพี่เบิ้มอย่าง นิวคาสเซิ่ล และ เชลซี เรียกขวัญกำลังใจเต็มแม็กซ์
น่าติดตามต่อนะครับคือเกมต่อไปเจอ เบิร์นลีย์ ทีมเก่าของกุนซือแล้วจะเจอของแข็งอย่าง สเปอร์ส และ แมนฯซิตี้ ชั่วโมงนี้ไม่น่ามีอะไรต้องเสียแล้วครับ
ปิดท้ายคู่ ลูตัน vs แมนฯซิตี้…ไม่รู้ผมเป็นตัวซวยป่าวนะพอ เชลซี ตามหลัง เอฟเวอร์ตัน 1-0 ในนาที 54 เห็นผลลัพท์ลางๆเลยตัดสินใจไปเปิดดูคู่ “เรือใบ” ที่ตอนนั้นยัง 0-0
แป๊บเดียว 1-1 อีก 3 นาที 2-1 เวรกำ!!
ลูตัน กำลังแผลงฤทธิ์กับทีมใหญ่อีกแล้วหลังงัดทั้งลูกหนักลูกเกาะแกะและบอล direct ที่เคยทำ ลิเวอร์พูล น้ำตาตกได้แค่เสมอและ อาร์เซนอล เกือบตามรอยก่อนมาได้ประตูชัยทดเจ็บ
แต่จู่ๆธาตุไฟแตกเข้าบอลกันพรวดพราดโดนตีเสมอง่ายๆและเสียบอลในแดนตัวเองโดนลงโทษรวมแล้ว 3 นาที 2 ลูกแพ้เฉย
แม้ชัยชนะต้องรอถึงเกมที่ 5 ซึ่งผิดวิสัยเอามากๆแถมฟอร์มโดยรวม ความกระหาย, ความดุดันมันยังไม่ใช่ แมนฯซิตี้ ที่เราเคยรู้จัก
แต่ 3 แต้มที่ห่างหายไป 1 เดือนคัมแบ็คแล้ว มาช้าไปหน่อยแต่ก็ดีกว่ารอนานกว่านี้ การตามหลัง “จ่าฝูง” ที่ไม่รู้โควต้าโกงตายหมดไปหรือยังแค่ 4 แต้มถือว่าไม่เยอะเลยสำหรับ เป๊ป กวาดิโอล่า
วันหยุดชดเชยพักผ่อนรีแล็กซ์กันเต็มที่ กลางสัปดาห์มาคุยกันใหม่ เดินทางปลอดภัยครับทุกท่าน
สถิติ สถิติ สถิติ
ซน เฮือง มิน เป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงในพรีเมียร์ลีก 10+ ได้ 8 ฤดูกาลติดต่อกันขึ้นไปโดย 7 คนก่อนหน้านั้นคือ เวย์น รูนีย์ (11), แฟร็งค์ แลมพาร์ด (10), แซร์จิโอ อาเกวโร่ (9), แฮร์รี่ เคน (9), เธียร์รี่ อองรี (8) และ ซาดิโอ มาเน่ (8)
ริชาร์ลิซอน ยิง “เบิ้ล” ในพรีเมียร์ลีกเป็นหนแรกนับตั้งแต่เมษายน 2022 ซึ่งเป็นเกมที่เล่นให้ เอฟเวอร์ตัน พบ เบิร์นลีย์ โดยหอกแซมบ้ายิง 2 ลูกในวันนี้วันเดียวเท่ากับ 39 เกมก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“คลับไก่” ยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกมากกว่าทีมอื่นๆในฤดูกาลนี้ (13 ลูก) รวมถึง 10 ลูกหลังสุดทำได้ติดต่อกัน เป็นสถิคิยิงประตูแรกเหนือคู๋แข่งที่ยาวนานที่สุดในลีกอีกด้วย
นิวคาสเซิ่ล แพ้ 55 เกมจากการออกมาเยือนในพรีเมียร์ลีก 56 เกมหากพวกเขาตามหลังในช่วงพักครึ่ง 2 ลูกขึ้นไปโดยเกมเดียวที่ไม่แพ้คือเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 เมื่อเดือนเมษายน 2016
เอฟเวอร์ตัน ชนะ 3 เกมในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันเป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2021 ในขณะที่ ชอน ไดซ์ ทำได้เป็นหนแรกนับตั้งแต่เมษายน 2019
นับตั้งแต่ ไดซ์ คุมเกมแรกให้ เอฟเวอร์ตัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ดูคูเร่ ยิงประตูที่ไม่ใช่จุดโทษในพรีเมียร์ลีกมากกว่ามิดฟิลด์ทุกคน (11 ลูก)
แมนฯซิตี้ ตามหลังคู่แข่ง 1-0 3 เกมติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2019 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายที่พวกเขาไม่ได้แชมป์ลีกในบั้นปลาย
ที่มา: soccersuck