สลับกันลง “รู” หงส์นอกบ้านไร้ใจ
ไม่อยากคิดแต่ก็อดไม่ได้…สรุปแล้วฟอร์ม+ความมุ่งมั่นของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ผันแปรตามชื่อชั้นฝ่ายตรงข้ามไปแล้วใช่ไหม?
ต้องให้บรรยากาศใน แอนฟิลด์ เป็นตัวช่วยบิ๊วสร้างอารมณ์ถึงจะวิ่งถึงจะกระตือรือร้นพอถึงเวลาออกนอกบ้านกลายเป็นอีกทีมใช่ไหมครับ?
สถิติ 13 นัดเกมเยือนชนะแค่ 3 มันสะท้อนสมมุติฐานข้างต้นชัดเจน
สารรูปในวันที่เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0 หรือกับแพ้ บอร์นมัธ ในวันนี้ทำไมมันเหมือนเป็นคนละทีมกับศึกแดงเดือด หาความใกล้เคียงในแง่มุมไหนไม่เจอเลยให้ตายสิ
แบบนี้แหละครับที่ผมถึงหัวเสียในความไม่เป็นมืออาชีพ มันต่างจากฟอร์มตก, ฟอร์มหลุดนะครับต้องแยกให้ออก
ผมเห็นบางคนในเฟสมาเม้นคอลัมน์ผมเกมพบ พาเลซ บอกจะเอาอะไรมากมันต้องมีขึ้นมีลง คุณก็ดูบอลในแบบฉบับของคุณไป ผมมองภาพไม่ตื้นเขินขนาดนั้น
สะกิดไว้เผื่อลืม…ผมปกป้องดีเฟนด์ “หงส์แดง” มาตลอดในวันที่แพ้หรือฟอร์มห่วยเพราะรูปเกมความพยายามมันคือหลักฐานที่เราเห็นและด่าไม่ลง ยกเว้นซีซั่นนี้แหละที่เล่นกับทีมที่เป็นรองกว่าทีไรไม่เคยพกใจเหมือนเจอทีมใหญ่เลยให้ตายสิ
เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ชอบทำอะไรง่ายๆให้ยาก คุณก็รู้ว่า เอเลียตต์ เล่นบอลแนวไหนสไตล์อะไรก็ยังดันทุรังจับสตาร์ตพร้อมกับ บายเซติช ก็รู้ๆอยู่ว่าทำให้เสียไป 1 ตัวฟรีๆ
เห็นจังหวะหลุดเดี่ยวนาทีที่ 9 ของ อูอัตตาร่า ไหมครับ?
มีแต่คนด่าว่า เทรนต์ พลาดแต่เริ่มจาก เอเลียตต์ ที่ชอบปัดสวะจ่ายบอลให้พ้นหน้าที่ของตัวเองโดยไม่สนว่าที่ให้ไปเพื่อนจะได้เปรียบหรือเล่นต่อได้ไหม
ส่งให้ ซาลาห์ ที่ถลำและยังไม่พร้อม บอลจังหวะต่อไปถึง ฟาบินโญ่ มันจึงเป็นการแก้ไขและในที่สุดส่งสั้นให้ TAA ต้องมาแก้เป็นคนสุดท้าย
น้องจุกไม่กล้าพาบอลไปเอง จ่ายเข้ากลางกับหลัง 2 อย่าง เกมรับโดนเบียดกระเด็น เมื่อมีทั้ง ฟาบินโญ่ กับ บายเซติซ อยู่แล้วการมี เอเลียตต์ ทำให้อย่างที่ผมเคยบอกเอาไว้ว่ากลางสไตล์นี้แพ้ทุกทีมในลีก ไม่เว้นแม้กระทั่งบ๊วย
เกมแดงเดือดวิ่งกันฉิบหายแต่เกมนี้แค่ก้าวสองก้าว VvD กลับหยุดเอาดื้อๆปล่อย อูอัตตาร่า ได้เปิดบอลจากเส้นหลังและกลายเป็นประตูเดียวของเกมนี้
อยากถามว่าหยุดทำไมในเมื่อวิ่งหายใจรดต้นคอมาขนาดนั้นแล้ว หรือพอเห็น โรเบิร์ตสัน เลยมอบหมายหน้าที่นี้ให้แบบบอลเตะหลังเลิกงาน?
ที่ตลกไปกว่านั้นคือพอ VvD หยุดวิ่งแกยืนนิ่งๆดูแสงเหนือชิวๆ ไม่มีคู่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรในกรอบเขตโทษเลย นี่แหละที่สงสัยว่าวิ่งไปพัวพันบล็อกก็ไม่เสียประตูแล้วพี่เอ้ยยยย
เป็นกองหลังที่ชิวกับทุกๆสถานการณ์อย่างที่แฟนหงส์เขาบอกไว้จริงๆ
ปกติ JK เป็นคนไม่ค่อยเปลี่ยนตัวผู้เล่นหรือแผนช่วงพักครึ่งแต่นี่คือสุดๆแล้วหลังส่ง โจต้า ลงมาแทน เอเลีตต์ เพื่อให้ยืนกลางแค่ 2 และยัดตัวรุกเน้นๆ 4
วันที่แพ้ “บ๊วย” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ดูแล้วทรงๆเดียวกัน มีโอกาสสวยๆแต่ทำกันไม่ได้ ตั้งแต่ครึ่งแรกลูกโขกของ VvD เคลียร์บนเส้น ลูกหลุดเข้าไปยิงในเขตโทษของ โรเบิร์ตสัน
และหนักไปกว่านั้นคือจุดโทษลูกแรกในซีซั่นนี้ของทีมเยือนที่อย่างน้อยอาจทำให้ “หงส์” ไม่แพ้ของ โม ซาลาห์ ที่ยิงหลุดเป้าผิดวิสัยของเจ้าตัวไปค่อนข้างมาก
วันนี้ “โม” หลุดฟอร์มของตัวเองเช่นเดียวกับมิติในเกมรุกของคนอื่นๆที่ดู “เอ้อระเหย” ทั้งๆที่สกอร์ตามหลังแต่จ่ายบอลขวางไปมา
บอลเจาะริมเส้นหรือเลี้ยงกินตัวที่ควรลองเสี่ยงเล่นแต่นอกจากเล่นช้าแล้วฝั่งขวาที่ “ท่านรอง” เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาแทน TAA แทบไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไหร่เลย
ในครึ่งแรกตอนที่ยังไม่ถูกยิงนำ 1-0 พื้นที่ว่างแดนบนค่อนข้างเปิดซึ่ง JK บ่นๆว่าลูกทีมใช้ประโยชน์จากตรงนี้น้อยไป
ท้ายที่สุดสกอร์ตามหลังพื้นที่ตรงนั้นไม่เหลือแล้ว เป็นงานที่ต้องสู้กับ บอร์นมัธ ที่เปลี่ยนมาเล่นรับลึก (deep) และยืนซ้อนคุมพื้นที่ (compact)
ช่วงเวลาที่ยังเหลือเฟือให้เอาคืน “หงส์แดง” ยังเล่นไม่เป็นทีมฉะนั้นช่วงเวลา “เร่งด่วน” ไม่ต้องพูดถึงครับว่าจะมั่วและไร้ทิศทางขนาดไหน
การเอาชนะ แมนฯยูฯ 7-0 ได้แค่ความสะใจและได้พื้นที่หน้าสื่อแต่ไม่ได้เอามาเป็นตัวต่อยอด คือเกมจบแล้วกูปล่อยจอย งานสำเร็จแล้ว มันจะได้ประโยชน์อะไร
การแพ้ “บ๊วย” ไม่มีแต้มจะทำให้ ลิเวอร์พูล “จอฟ้า” หาที่ระบายไม่ได้อีกอย่างน้อยๆก็ 20 วันเต็มๆสืบเนื่องจากโปรแกรมพรีเมียร์ลีกในเดือนมีนาคมไม่เหลือแล้ว (ฟูแล่ม ต้องเตะ เอฟเอ คัพ)
โผล่อีกทีคือประเดิมเดือนเมษายน “นรก” ต้องเจอทั้ง แมนฯซิตี้, เชลซี และ อาร์เซนอล ไอ้ 3 เกมที่ว่านี้กินเวลาแค่ 8 วันเท่านั้น!! เริ่มตั้งแต่ 1 ยันวันที่ 9 โหดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ปรับอารมณ์ที่ฟินสุดๆจากเกมแดงเดือดแทบไม่ทัน บทจะขึ้นสุดก็เล่นเอาซะตัวลอย ถึงเวลาปล่อยจอยพวกพรี่ๆก็โยนทิ้งให้แฟนบอลแย่งกันมุดลงรูซะงั้น…
สถิติ สถิติ สถิติ
การเสียท่าให้ บอร์นมัธ เป็นเพียงความพ่ายแพ้เกมที่ 2 เมื่อ เวอร์จิล ฟาน ไดคจ์, โกนาเต้ และ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ ลงตัวจริงพร้อมกันโดยหนสุดท้ายที่ปราชัยเมื่อมี 4 ปราการหลังกลุ่มนี้คือรอบชิง UCL พบ เรอัล มาดริด เมื่อซีซั่นก่อน (แข่ง 15 ชนะ 10 เสมอ 3 แพ้ 2)
“หงส์แดง” แพ้ “บ๊วย” 2 เกมติดเป็นหนแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2010-กุมภาพันธ์ 2011 (พบ วูลฟ๋และเวสต์แฮม)
บอร์นมัธ เอาชนะ ลิเวอร์พูล เป็นหนที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรหลังเคยปลดล็อกชนะครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2016 ด้วยสกอร์ 4-3 และเป็นการเก็บคลีนชีตในการเจอกับ “หงส์แดง” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 (เสมอ 0-0)
ฟิลลิป์ บิลลิ่ง ยิง6 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้นับเป็น 2 เท่าของ 3 ฤดูกาลหลังสุดรวมกัน (77 เกมยิงได้แค่ 3)
แกรี่ โอนีล เป็นกุนซือชาวอังกฤษคนแรกที่เอาชนะ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในพรีเมียร์ลีกในรอบ 23 เกม (เสมอ 4 แพ้ 18) และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ สก็อตต์ ปาร์เกอร์ เคยเอาชนะได้เมื่อเดือนมีนาคม 2021 (ฟูแล่ม ชนะ 1-0)
ที่มา: soccersuck