“สิงห์” ยุคพอชแววดี “หงส์” ระบบล้มเหลว
บทสรุปเกมเปิดสนามบิ๊กแมทช์คือช่วงเวลาดีๆของ ลิเวอร์พูล มีอยู่เพียงแค่ 30 นาทีเศษๆนับตั้งแต่ โม ซาลาห์ ถูกจับล้ำหน้าหลังจากนั้นเป็น เชลซี ที่เหนือชั้นกว่าทุกกระบวนท่า
การตามหาจิ๊กซอว์สำคัญคือ “กลางรับ” ของทั้งคู่ก่อนลงสนามเกมนี้เห็นชัดเจนว่า “หงส์แดง” อาการหนักกว่าเยอะและต้องการมากกว่าเหนือสิ่งอื่นใด
ในขณะที่ “สิงห์บลู” กำลังรอแค่ Here we go จาก โรมาโน่ ในดีล มอยส์ ไคเซโด้ นั้น เกมนี้ยังพอมีตัวช่วยอย่าง คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ครึ่งแรกสอบตกแต่ครึ่งหลังวิ่งเป็นม้าสอบผ่าน
ปัญหาแนวรับรั่วจัดในครึ่งแรกของเจ้าถิ่นที่ทำให้ “หงส์แดง” บุกเจาะเพลินๆนั้นปรากฏว่าตลอดทั้งครึ่งหลัง class บอลของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ตีนออกแสงสุดๆกลบความล่กของแผงหลังหายวับไปกับตา
ผู้เล่นทีมเยือนหาบอลไม่เจอเก็บบอลไม่ได้ กลายเป็นบอลถูกพับเล่นอยู่แค่ครึ่งเดียวซะเป็นส่วนใหญ่
ขนาด ลิเวอร์พูล เข้ารุม 2 คนเจอโยกทีเดียวหลุดตาแทบถลนตามแรงเฉื่อย งานที่เหลือแค่ถ่ายบอลออกข้างก็เจาะแนวรับทีมเยือน งานสบายไม่เครียดอะไร
ทั้งหมดทั้งมวลเราจึงได้เห็นมหกรรมการเปิดแผลแนวรับ ลิเวอร์พูล ครั้งใหญ่แบบเละเทะแทบทนดูไม่ได้
เน่าขนาดที่ว่า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่แฟนๆ “สิงห์” ร้องเห้วันนี้ผมว่าเล่นดีเก็บบอลปั่นป่วนได้ดีกว่าหลายๆเกมที่ผ่านมาแต่ด้วยความเป็น “ราฮีม” บอลสุดท้ายมันได้แค่นั้นจริงๆ ฮา
ครึ่งหลังการครองบอล 3 ใน 4 ของเจ้าถิ่นและโอกาสดวลเป้ากับ อลิสซอน 2-3 หนกลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ เป็นความโชคดีรับโชคฤดูกาลใหม่ของ “หงส์แดง” อย่างแท้จริง
การขายผ้าเอาหน้ารอดให้ โคดี้ กัคโป มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ฝั่งขวาไม่เวิร์คอย่างแรงเพราะระบบ 4-3-3 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยใช้พวกมดงานมาวิ่งช่วยแต่กลายเป็น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ถูกเจาะรัวๆ 2 รุม 1 แทบตลอด (ในครึ่งแรก)
ในครึ่งหลังกลางและแนวรับของยอดทีม “ยูโรป้าลีก” วิ่งไม่เจอบอลโดยเฉพาะ โดมินิก โซบอสซ์ไล ที่ยังใช้พลังงานเกินตัวแต่ตัดอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน
ในขณะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ดู “ติดขัด” กับตำแหน่งเบอร์ 6 และเล่นได้ไม่สุด
เราเห็นไม่บ่อยนักที่ JK จะเปลี่ยนเอาแข้งซีเนียร์เบอร์ 1 อย่าง โม ซาลาห์ ออกและส่งเจ้าหนูวัย 17 อย่าง เบน โด๊ก ลงตั้งแต่นาที 76
กลายเป็นว่าทั้ง เอเลียตต์ และ โด๊ก วิ่งไล่และ movement ดูดีช่วยให้กองเชียร์ได้มีลุ้นเล็กๆอะไรขึ้นมาบ้าง
แสดงว่าบอสสุดทนจริงๆ ในขณะที่ หลุยส์ ดิอาซ เล่นบอลไม่ไปข้างหน้า ดึงจังหวะม้วนกลับและถ้าเทียบกับเกือบ 30 นาทีที่ ดาร์วิน นูนเญซ ผมว่า “หนูน” ควรตัวจริงเกมหน้ามากกว่าด้วย
เกมนี้ 1 แต้มของ “หงส์แดง” จึงใหญ่กว่า “สิงห์” ที่หมายมั่นสุดๆว่าจะชนะเกมแรกในบ้านให้ได้ในวันเปิดตัว เมาริซิโอ พอเชตติโน่
เพราะตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แล้ว เชลซี ไม่ชนะใครที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาอย่างยาวนานรวมวันนี้ด้วยก็ 9 นัดติดต่อกันแล้ว
สำหรับ เชลซี การได้ ไคเซโด้ มาเชื่อว่า เอ็นโซ่ จะเล่นแบบไร้พะวงและคายทีเด็ดได้มากกว่านี้
การพับสนามใส่ ลิเวอร์พูล ในครึ่งหลังโดยที่ทีมอยู่ในช่วงผ่าตัดถ่ายเลือดหลายตำแหน่งอย่างน้อยๆยังพอมองเห็นอนาคตภายใต้การทำทีมของ “พอช” ให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตั้งแต่นัดแรก
ครับด้วยความที่ทรงบอลต่ำกว่ามาตรฐานเราจึงได้เห็นเกมที่เอ็นเตอร์เทนแบบไม่ได้ตั้งใจซึ่งเป็นกำไรของคนดู (ที่ไม่ใช่แฟนหงส์) กันไป
แต่ที่ไม่โอเคคือกฏใหม่นักเตะขอใบเหลืองแต่ถูกแจกใบเหลืองเป็นอะไรที่โง่งี่เง่าและปัญญาอ่อนมาก
เป็นการเพิ่มอำนาจและยกผู้ตัดสินเป็นสมมุติเทพให้สูงเข้าไปอีก จากเดิมที่ทั้งโค้ชและนักเตะวิจารณ์หรือด่าการทำงานก็แทบไม่ได้อยู่แล้ว
การยกมือขอใบเหลืองเป็นแค่ gesture ของนักกีฬาหรือโค้ชที่กำลังมีอารมณ์ร่วม ผมไม่เห็นว่ามันจะใหญ่โตถึงต้องมาออกกฏแจกใบเหลืองอุดปากเลย
ปิดท้ายที่ “หงส์แดง” ก่อนปิดตลาดถ้าไม่มีกลางรับตัวใหม่เชื่อว่า จอห์น เฮนรี่ อยู่ยากแน่ๆครับ
ในเมื่อเปิดไพ่ในมือออกมาแล้วว่ามีเงินในคลังอย่างน้อยๆก็ 115 ล้านปอนด์ที่เอาไป bid สู้ดีล ไคเซโด้ กับ เชลซี มันก็ต้องไปให้สุด คนไหนก็ได้
มีเงินขนาดนี้ใจนึงเดอะ ค็อปก็ดีใจ (ปนตกใจ) แต่อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าแล้วร่วมเดือนทำอะไรกันอยู่ถึงไม่ขยับอะไรในตลาดและมาเสียหมาถูกเอเยนต์ ไคเซโด้ ปั่นหัวจนอาจเสีย ลาเวีย ไปด้วยอีกคนกับความขี้งกไม่เข้าเรื่อง
พูดได้ว่าเป็นการบริหารที่ล้มเหลวตั้งแต่ไม่มีมิดฟิลด์ขาเข้าตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วก่อนสมองไหลเสียรวดเดียว 6-7 ตัวในซัมเมอร์นี้
2 ตัวใหม่ที่ได้มาในซัมเมอร์ล้วนแล้วแต่เป็นการเล่นง่าย “ฉีกสัญญา” มาทั้งนั้น ยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือของทีมงานซื้อขายที่ยุคนี้เฟรมเรตตกสุดๆ
การสลับตำแหน่งให้ กัคโป มายืนกลางหรือ AMA ยืนเบอร์ 6 (ที่ผมยืนยันว่าเสียของ) ทดลองใช้กับ เชลซี ที่ทีมเวิร์คไม่ลงตัวยังโดนพับขนาดนี้
ไม่ต้องพูดถึงทีมบนๆตารางหรอกครับเอาแค่ เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน หรือ วิลล่า โดนเจาะรัวๆแน่นอน
แม้ลึกๆผมยังเชื่อว่ากลางรับอาจยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมดในเมื่อ JK ยังใช้ระบบที่หวือหวาและต้องใส่ความซับซ้อนหลากหลายหน้าที่ของผู้เล่นเข้าไปด้วยนี่แหละ
เแต่ท้ายที่สุดยังไงเสียก็ต้องมีมิดฟิลด์ตัวรับอยู่ดี เป็น priority ที่แฟน ลิเวอร์พูล ต้องตามลุ้นกันหนักในขณะที่ เชลซี ของเสี่ยท็อดด์ที่ได้ข่าวว่าบ้าคลั่งสุดๆและอาจไม่จบทีตัวเดียว
2 สัปดาห์ก่อนตลาดปิดมีอะไรให้เสียวกว่าเกมวันนี้อีกเยอะแน่นอนครับ….
สถิติ สถิติ สถิติ
เชลซี ครองบอลเกมนี้มากถึง 65.4% นับเป็นตัวเลขสูงสุดของพวกเขาในพรีเมียร์ลีกที่พบกับ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04 เลยทีเดียว
โม ซาลาห์ มีส่วนร่วมโดยตรงกับ 12 ประตูกับการลงเล่นในนัดเปิดสนาม 7 เกมโดยแบ่งเป็นยิง 8 ประตูและจ่ายอีก 4
ที่มา: soccersuck