สู้ตายดีกว่ากันตายก่อนตายจริง
บอกตามตรงไม่รู้จะเริ่มอะไรก่อนดีระหว่าง “อึ้ง” กับความบ้าดีเดือดของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู หรือหงุดหงิดกับกองหน้าของ เชลซี
แทบจำไม่ได้แล้วว่าศึกมันเดย์ไนท์ที่มันโคตรๆมีเหตุการณ์มากมายอยู่ในเกมเดียวกันครั้งสุดท้ายมันคือเมื่อไหร่
ในเกมที่ “สิงห์บลู” บุกยัดเยียดความปราชัยนัดแรกในฤดูกาลนี้ให้ “คลับไก่” ถึง 4-1 ทุกอย่างพลิกผันไวมากจนปรับอารมณ์ตามไม่ทันจริงๆ
เกมนี้เหมือนเดาความน่าจะเป็นได้ไม่ยากเนื่องจาก สเปอร์ส ยังงัดตำราบุกแหลก วิ่งกันพล่านแทงกันสนุกเหมือนทุกครั้งและประตูแรกมาเร็วมากตั้งแต่นาทีที่ 6
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือใบแดงของ คริสเตียน โรเมโร่ ที่ยันเปิดปุ่มใส่หน้าแข้งของเพื่อนร่วมชาติอย่าง เอนโซ่
ลักษณะคล้ายๆ เคอร์ติส โจนส์ ยัน บิสซูม่า โดยของกองหลังแชมป์โลกน่ากลัวมากเนื่องจากฟอลโลว์ทรูใช้การเข้าเสียบบอล “บังหน้า” (โดนแค่ 20-30%) เพื่อเก็บฝ่ายตรงข้าม
ตอนแรก “คลับไก่” ทำท่าจะรอดเนื่องจาก VAR ริบประตูยิงไกลสุดสวยของ ไคเซโด้ ก่อนมาตามเช็กจังหวะของ โรเมโร่
“บิงโก” 2 เด้ง ใบแดง+จุดโทษ สถานการณ์เป็นรองทันที!!
จริงๆแล้ว โรเมโร่ ควรโดนใบแดงไปก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำหลังไม่รู้คิดอย่างไรถึงไปเตะใส่ โควิลล์ นอกเกมแต่ครั้งนั้น VAR ปล่อยผ่าน
หลายๆเกมหลายๆหน โรเมโร่ รอดมาได้แต่ครั้งนี้จะแจ้งเข้าตากรรมการ เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่นักเตะ “ไก่” มักคะนองเมื่อเล่นในบ้านตัวเอง
การถูกไล่ออกหนนี้ทำให้ โรเมโร่ กลายเป็นนักเตะที่ถูกไล่ออกมากที่สุดถึง 4 ครั้งนับตั้งแต่ออกสต๊าร์ตฤดูกาล 2021-22
ลางร้ายถาโถมมาพร้อมกันอีก 2 เด้งคือ แมดดิสัน เจ็บเล่นไม่ไหวและหนักเลยคือ ฟาน เดอ เวน ที่เล่นโคตรดีแต่ดันแฮมสตริงกระตุกตอนวิ่งไล่กวด
เรียกว่ายังไม่จบครึ่งแรกแต่ สเปอร์ส แผลเยอะมากจริงๆ
สถานการณ์ของเจ้าถิ่นลุกลามเกินควบคุมเมื่อครึ่งหลังเล่นมาได้ 10 นาที อูโดกี้ โดนเหลืองสองทำให้เหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คน
ตอนนั้นทั้งสนาม “ช็อกตาตั้ง” พูดอะไรไม่ออกถึงขนาดที่ว่าในวินาทีต่อมา ฮอยเบียร์ก ตัวสำรองช่วยเคลียร์บนเส้นซึ่งปกติแฟนบอลทุกทีมต้องชูมือเฮดีใจแต่แฟน สเปอร์ส หลังโกล์นั่งนิ่งกำลังมึนๆ
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าหลังพิงฝาขนาดนี้ “บิ๊กแอนจ์” แกไม่ยอมเลือกวิธีที่โค้ชหลายๆคนทำกันคือตั้งรับ+อุดเพื่อสวนกลับ อย่างน้อย 1 แต้มไว้ก่อน สถิติไร้พ่ายยังไม่หายไปไหน
ถ้าศัพท์สนุกเกอร์เขาเรียกว่า “สู้ตายดีกว่ากันตาย”!!
ไม่ว่าจะตอนเหลือ 10 ตัว (ครึ่งแรก) และ 9 ตัว (ครึ่งหลัง) “บิ๊กแอนจ์” ยังให้แนวรับยืนไลน์สูงเกือบครึ่งสนาม (บางครั้งแตะเส้นกลางสนามเลยด้วย) ในขณะที่กลางและหน้า compact อยู่ตรงกลางสนาม
เรียกว่าพื้นที่อัดแน่นตรงกลางเป็นการเช็กล้ำหน้าวัดใจวิ่งแข่งกันเกือบทั้งเกมซึ่ง key สำคัญของการเล่นนี้คือ วิคาร์ริโอ ผู้รักษาประตูที่ยืนนอกเขตรอเก็บกินลูกเปิดข้ามแนวรับมานี่แหละครับ
อีกทีมดันสูงเช็กล้ำหน้าอีกทีมขยันวางยาวข้ามไลน์ เกมเปิดสุดๆ มันมากขอบอก!!
ผมเชื่อว่านักเตะ เชลซี หรือ “พอช” เองก็น่าจะงงกับการเลือกเล่นวิธีนี้ของ “ไก่เดือยทอง” ทีมเยือนไม่ต้องลำบากหาหนทางเจาะพื้นที่สุดท้ายเหมือนที่เราเห็นกันบ่อยๆเวลามีทีมถูกไล่ออก
ที่กล่าวมาคือในมุมตอนที่ “ไก่” เหลือตัวน้อยกว่าแต่ด้วยความสัตย์จริงในระหว่างที่ 11 ตัวเท่ากันและสกอร์ 1-0 แต่รูปเกม “สิงห์” ยิ่งเล่นยิ่งเหนือกว่านะครับ
อันนี้ส่วนนึงมาจากแนวทางการเล่นแนวรับดันไลน์สูงของเจ้าบ้านซึ่งวิธีนี้เข้าทาง เชลซี ที่มีตัวรุกไวๆ
อย่างไรก็ตามอย่างที่เรียนไว้ประโยคเกริ่นนำว่าความห่วยของเกมรุก “สิงห์” ที่ไม่ช่ำชองการวิ่งมุมตะแคงแต่ออกตัวเป็นนักวิ่งตรงๆทำให้โดนจับล้ำหน้ารัวๆ
รวมถึงพอได้จังหวะหลุดโล่งแต่เข้าอีหรอบเดิมคือล่กจัด จะทำอะไรก็ไม่ทำซักอย่าง เป็นแบบนี้อยู่นานก่อนที่ นิโคลัส แจ๊คสัน มายิงนำ 2-1 ในนาที 75
และจัดรัวๆแฮทริค 90+5 กับ 90+8 ก่อนโชว์ตลกโจ๊กเกอร์ แฟมิลี่ด้วยการ copy ท่าดีใจของทั้ง แรชฟอร์ด และ โรนัลโด้ อย่างละลูก
ซึ่งจริงๆแล้วหากพิจารณากับผู้เล่นที่มากกว่า 2 ตัว, พื้นที่โล่งเป็นทุ่ง, โอกาสหลุดนับไม่ถ้วน เชลซี เกือบหางานให้ตัวเองโดนตีเสมอก่อนหน้านี้อีกด้วย
นี่คือสิ่งที่แฟนบอล “สิงห์” เขาห่วงกันในนัดต่อๆไปครับ ความอ่อนแอในพื้นที่สุดท้ายยังเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เหมือนเคย
ผ่าน match day 11 พรีเมียร์ลีกไม่เหลือทีม “ไร้พ่าย” แล้วนะครับหลัง 2 ทีมจากลอนดอนทั้ง อาร์เซนอล และ สเปอร์ส โดนเปิดซิงในสัปดาห์นี้พร้อมๆกัน
ทิ้งท้ายสวยๆขอสดุดีแข้ง สเปอร์ส 9 ตัวที่แม้จะแพ้คาบ้านแต่ก็แพ้แบบมีศักดิ์ศรี วิ่งสู้จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
ทั้งหมดเป็นคำตอบชัดเจนที่สุดว่าทำไมฤดูกาลนี้ สเปอร์ส ถึงผลงานดีเวอร์วังอลังการขนาดนี้ COYS !!
ที่มา: soccersuck