สู้ต่อไป…ทีมชาติไทย! เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
จบลงด้วยเรื่องราวดราม่า พร้อมเสียงก่นด่านักเตะและสตาฟฟ์โค้ช ทีมชาติไทย ในแมตซ์ชิงฯซีเกมส์ ที่ใครหลายคนใช้คำว่า “อัปยศ” และ “อับอาย” กว่าความพ่ายแพ้
เหตุการณ์ตะลุมบอนกันวุ่นวายระหว่าง ไทย กับ อินโดนีเซีย ซึ่งมีภาพปรากฎออกสู่สายตาผู้ชม ทั้งในสนาม และแฟนบอลทั่วโลกนั้น ได้สร้างความเสื่อมเสียอย่างยิ่งให้กับทั้งสองประเทศ
ล่าสุด สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ออกแถลงการณ์ ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พร้อมยืนยัน จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน และจะมีบทลงโทษเด็ดขาด โดยไม่มีการปกป้องบุคลากรที่ได้กระทำความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเริ่มทันทีหลังจากทีมเดินทางกลับประเทศไทย
ประเด็นนี้ คงไม่ไปต่อความยาวสาวความยืด ใครผิด ก็ว่าไปตามผิด คิดซะว่าเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องได้รับผลแห่งการกระทำ
แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ อนาคตของทีมชาติไทยชุดนี้?
ถ้าจะมองแค่เป้าหมาย “ซีเกมส์” ก็คงบอกได้ว่า “ล้มเหลว” อีกครั้ง หลังจากที่ไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
แต่ถ้ามองว่า “ซีเกมส์” เป็นแค่ทัวร์นาเมนท์ลองทีมระหว่างทางที่จะไปสู่เป้าหมายใหญ่ในการลุ้นตั๋ว “โอลิมปิกเกมส์ 2024” จากโควตา 3.5 ทีม ใน U23 ชิงแชมป์เอเชียนั้น ต้องถือว่า “คุ้ม” โดยเฉพาะการได้เห็นหน้าเป้าอนาคตใหม่อย่าง “ยศกร บูรพา” แจ้งเกิด
ซึ่งทีมงานผู้ฝีกสอนที่นำโดย “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร ได้เริ่มต้นนับหนึ่งมาตั้งแต่ปลายปี 2022 มีการเรียกเข้าแคมป์ อุ่นเครื่องทั้งในและต่างประเทศ ก่อนคัดตัว U22 มาซีเกมส์ครั้งนี้
จะว่าไป “โค้ชหระ” ไม่ได้ทำผลงานเลวร้ายอะไรที่กัมพูชา ยกเว้นแค่นัดชิงกับ อินโดนีเซีย เท่านั้นที่น่าผิดหวัง โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์
แน่นอนว่า ความรับผิดชอบในฐานะ “เฮดโค้ช” ย่อมต้องมี แต่ สมาคมฯ คงต้องเอาเหตุและผลมาพิจารณาเป็นเคส ๆ ไป ไม่ใช่โหนตามกระแส
เพราะทีมชาติไทยชุด “U23” ยังต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อเป้าหมายใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ซีเกมส์
ที่มา: soccersuck