หลังรั่ว/กลางอ่อน/หน้าง่อย บทสรุป “หงส์” แพ้หมดรูป
ผมไม่ได้แปลกใจอะไรเลยที่ ลิเวอร์พูล แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 3-1 เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วมันต้องมาแน่ๆหลังก่อนหน่านี้อาศัย “ตู้บุญเติม” มาหลายนัด
การเก็บชัย 4 นัดรวดในสภาพแฟนบอลด่าปากเปียกปากแฉะทุกเกมถือได้ว่าตักตวงผลประโยชน์เกินต้นทุนไปเยอะมากๆ
ก่อนไล่ดีเทล “หงส์แดง” ขออนุญาตยกนิ้ว (ที่เป็นนิ้วโป้งจริงๆ) ให้ เบรนท์ฟอร์ด ที่ตอนแรกทำท่าว่าจะแย่หลังเสีย ไอแวน โทนี่ย์ เอซเบอร์ 1 และดาวซัลโวอันดับ 3 ของลีกที่ลงเปลในเกมชนะ เวสต์แฮม
แต่ขอโทษความดุดันในเกมรุกไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย แรกๆเหมือนจะเงียบๆแต่พอไม่เงียบทีนี้ก็ไม่เงียบเลย!
บอลไม่ต้องเล่นมากจังหวะ รอโจมตีด้วยลูก “หากิน” อย่างเตะมุมที่เหมือน”จุดโทษ” เพราะนอกจากนำ 1-0 จาก OG ของ โกนาเต้ แล้วยังโดน VAR ริบไปอีก 2 หาไม่แล้วนำ 3-4 ลูกเกมจบไปนานแล้ว
ผมยังมองว่าลูกแรกที่เสียเป็นเหตุสุดวิสัย การเข้าห้องแต่งตัวด้วยสกอร์นี้ยังพอคัมแบ็คได้
แต่ลูก 2-0 ก่อนหมดครึ่งแรก 3 นาทีรับไม่ได้อย่างรุนแรง
ฮาร์วีย์ เอลเลีตต์ ทำในสิ่งที่พวกกองกลางเขาไม่ทำกันคือวิ่งข้ามหลอกในแดนตัวเองจากระยะหนีหน้าเขตโทษตัวเองมาไม่เท่าไหร่
นอกจากไม่สร้างประโยชน์ยามได้บอลแล้วจังหวะแบบนี้แสดงออกชัดเจนว่าไม่กล้าเก็บบอลไม่กล้าเล่นอะไรกับบอลจนนำมาสู่การเสียประตูสำคัญ (ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง)
การลงมาของ นาบี้ เกอิต้า เห็นๆเลยว่าทรงบอลช่วยสร้างมิติในการผ่านบอลทะลุไปข้างหน้าดีกว่าแปะคืนไปมาของ เอลเลียตต์
จริงๆผมไม่อยากตำหนิน้องมันมากเพราะเจ้าตัวเองน่าจะกดดันที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ พยายามปั้นเป็นตัวหลักในตำแหน่งไม่ถนัดทั้งๆที่ควรเป็นสายซัพนั่งสำรองมากกว่า
เล่นไม่ออกหรือทำอะไรไม่ได้ที่ผ่านๆมาผมมักจะแตะนิดๆหน่อยๆไม่อยากด่าเยอะแต่ภาพการวิ่งข้ามหลอกในแดนตัวเองยังติดตา ไม่เข้าใจทำไมเลือกเล่นแบบนั้น
ด้วยแท็คติกส์ของ เบรนท์ฟอร์ด ที่ไม่สนการครองบอลทำให้สถิติตัวเลขในครึ่งแรกห่างไกลสุดกู่ถึง 25 ต่อ 75
เราจะเห็นได้ว่าในครึ่งแรกกับครึ่งหลัง % การครองบอลไม่หนีกันเลยแต่ 45 นาทีหลังเป็นอะไรที่ได้ลุ้นและได้น้ำได้เนื้อกว่า
สาเหตุก็เพราะการลงสนามของ เกอิต้า ตามที่เรียนไปข้างต้นและ “ผึ้งน้อย” โดนตีไข่แตกเร็วจึงโฟกัสที่ช่วยกันอุดไม่ได้สนใจสวนกลับเหมือนครึ่งแรก
การเสีย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพราะคอนซัคชั่นในการซ้อมกลายเป็นว่า JK เจอปัญหาแบบนี้ในเซสชั่นสุดท้าย 2 หนแล้ว
คราวก่อนแกก็บ่นว่าต้องมาซ้อมเปลี่ยนแผนในเซสชั่นสุดท้ายเพราะ ฟาบินโญ่ ไปเฝ้าภรรยาคลอดซึ่งในรายของกัปตันเกิดขึ้นซ้ำเดิมอีกรอบ
ในมุมมองผมสูตรแดนกลางแก้ขัดที่ดีที่สุดในเวลานี้คือ เฮนโด้ เล่นคู่กับ ติอาโก้ ไปเลยแล้วดัน เกอิต้า ไปยืนตัวรุกในระบบ 4-2-3-1 เพิ่มมิติเพิ่มการเข้าทำอีกประเภทนีงเข้ามาดีกว่าครับ
แต่ปัญหาคือ JK แกเป็นประเภทยึดติดแผน 4-3-3 ค่อนข้างเหนียวแน่น (หรืออีกนัยนึงคือดื้อ) ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าคุณภาพนักเตะที่มีอยู่ตอนนี้ถ้ายืนกลาง 3 มันออกไปสู้ใครลำบาก
คล็อปป์ ต้องพยายามเลิกเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันได้แล้ว ความดันทุรังเข็นสิ่งเดิมๆไม่คิดจะออกจากกรอบเป็นสิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดจากแกจริงๆ
จากความอ่อนด๋อยในแดนกลางแทบทุกนัดน่าจะกระตุ้นให้ JK ยังไม่ปิดตลาดเพราะมิดฟิลด์ตัวใหม่คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของฤดูกาลนี้เท่านั้น
ในระหว่างพักครึ่งผมไถ IG ผ่านๆเจอข่าว “เบรกกิ้งนิวส์” ว่า ลิเวอร์พูล เตรียมขยับซื้อ มาเธอุส นูเนส มิดฟิลด์ทีมชาติ โปรตุเกส ของ วูลฟ์ ในราคา 44 ล้านปอนด์
มาเช็กต่อข้อมูลที่อื่นต่อมีเล่นข่าวนี้กัน 2-3 สื่อ (เอคโค่,โกล์ และ เทเลกราฟ)
สรุปได้ว่าข่าวนี้ยังอยู่ในสถานะ “ลือ” และโดยส่วนตัวคิดว่าเกิดขึ้นยากเนื่องจาก “หมาป่า” เพิ่งจัดมาเมื่อซัมเมอร์ที่แล้วแถมตอนนี้อยู่รองบ๊วยใครจะบ้าขายล่ะครับ
แต่ ณ เวลานี้ใครก็ได้ไม่ว่าจะ ไซเซโด้ หรือ อัมราบัค เข้ามายกระดับช่วย ติอาโก้ ได้ดีกว่าตัวที่มีอยู่ตอนนี้แน่ๆ
ในเกมที่เล่นห่วยๆสมควรแพ้แต่ก็แอบเสียดายที่อุตสาห์ตีไข่แตกเร็วและเหลือเวลาอีกเพียบถึง 40 นาที
ลูก 3-1 ก่อนหมดเวลา 6 นาทีเกิดขึ้นแบบงงๆและตอกย้ำว่าปัญหาของ “หงส์แดง” คือเสียประตูง่ายจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
อิบู โกนาเต้ กลับมาจากบอลโลกเป็นตัวจริงครั้งแรกพบกับฝันร้าย จัดทั้ง OG. และเสียเหลี่ยมให้ เอ็มบูโม่ ทั้งๆที่ตัวใหญ่และหนากว่าน่าจะรับมือได้ดีกว่านี้
บทความก่อนๆผมพูดถึงการจบสกอร์ของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่รอได้ตราบใดที่ ลิเวอร์พูล ยังชนะ
แต่ความ “สาก” ในช่วงต้นเกมนาทีที่ 8 กลายเป็น butterfly effect หาก “หนูน” มีความนิ่งเงยหน้ามอง เบน มี ตัวสุดท้ายหลังกระชากหลบผู้รักษาประตูได้แล้ว
ประตูที่ยิงเข้าเนียนๆเหนือๆของ “หนูน” ในครึ่งหลังก็กลายเป็น “กรรมบัง” ถูก VAR จับล้ำหน้า
และที่ผมคิดว่า นูนเญซ ต้องหาเวลาซ้อมเยอะๆหลังเซสชั่นปกติคือลูกยิงหักข้อตรงมุมกรอบ 6 หลานี่แหละครับเพราะเท่าที่เห็นตั้งแต่ย้ายมาคือแป๊กบดเสาไกลหลุนๆทุกลูก!!
ที่ผ่านๆมา “หงส์แดง” รอดตายในแต่ละนัดเพราะมีเงื่อนไขบางตัวมันไม่ “ทริกเกอร์” พร้อมกัน
เกมกับ “ผึ้งน้อย” ทั้ง หลังรั่ว, หน้าไม่ยิงและคู่แข่งจบสกอร์ ถือว่าครบองค์ประชุมสมควรแพ้ชนิดไม่ต้องหาข้ออ้างแก้เขินให้เสียเวลาครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
เบรนท์ฟอร์ด ไม่เคยแพ้ในพรีเมียร์ลีกแม้แต่นัดเดียวหากพวกเขายิงประตูขึ้นนำคู่แข่งได้ก่อน (ชนะ 15 เสมอ 4)
อเล็กซ์ ออซ์เลด เชมเบอร์เลน เป็นนักเตะคนที่ 8 ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้ ลิเวอร์พูล นัดที่ 100 และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ โม ซาลาห์ เคยทำสถิตินี้ไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2020
2 จาก 3 ประตูหลังสุดในลีกของ OX มาจากลูกโหม่งทั้งๆที่ 17 ลูกแรกที่เขาทำได้ในรายการนี้ไม่มีลูกหัวเลยซักลูก
ลิเวอร์พูล แพ้ทุกเกมในพรีเมียร์ลีก 20 นัดหลังสุดหากพวกเขาตามหลัง 2+ ในช่วงพักครึ่งโดยหนสุดท้ายที่คัมแบ็คได้คือบุกชนะ แมนฯซิตี้ 3-2 เมื่อปี 2008
ที่มา: soccersuck