ฮอยลุนด์นำชัยผียุคใหม่ เซฟเก้าอี้ ETH
เหลือเชื่อจนต้องขยี้ตา 2 รอบที่เห็นการคัมแบ็คยิงรวดเดียว 3 ประตูของ แมนฯยูไนเต็ด ทั้งๆที่อยู่ในช่วงถือศีลกินไข่มา 4 เกมติด
และเราต้องไม่ลืมด้วยว่าก่อนคิกออฟ “ปีศาจแดง” เป็นทีมที่ยิงน้อยที่สุดในลีกแค่ 18 ลูกหากไม่นับ 3 ทีมคือ เบิร์นลีย์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ คริสตัล พาเลซ
กล่าวคือยิงน้อยที่สุดเป็นอันดับ 17 โดยที่ แอสตัน วิลล่า ผู้แพ้หลังจบเกมซัดทะลุหลัก 40 ไปแล้ว
มากไปกว่านั้น “ปีศาจแดง” เป็นทีมแรกที่ทำลายสถิติลูกทีม “อูไน” ที่หากยิงขึ้นนำใครในซีซั่นนี้เก็บชัยชนะ 100% ลงเรียบร้อย
หลังจบครึ่งแรก เอริค เทน ฮาก กำลังจ่อเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของ ยูไนเต็ด ที่พาทีมยิงประตูไม่ได้ 5 เกมติดนับตั้งแต่ปี 1981 ภายใต้การคุมทีมของ เดฟ เซ็กตัน
ดังนั้นหากดูจากความเฉียบคมของ “สิงห์ผยอง” ที่โต้กลับดีกว่าและน่าจะได้มากกว่า 2 ลูกนี่คือเกมที่ แมนฯยูฯ พลิกกลับมาได้สั่นสะเทือนมากที่สุดเลยก็ว่าได้
เหนือทั้งปวง รามุส ฮอยลุนด์ ยิงประตูแรกในสีเสื้อ ยูไนเต็ด (เกมนี้พยายางยิง 12 หน) ยุติการรอคอยอันยาวนาน 1,026 นาทีแถมเป็นประตูชัยที่เขย่าอารมณ์ “เร้ดอาร์มี่” สุดๆ
เขาถึงมีคำพูดที่ว่า what a way to score first goal คือยิงเปิดซิงทั้งทีให้โลกจำไปเลย
ร่วมด้วยเจ้าหนู การ์นาโช่ ที่โดนรุ่นพี่ว้ากกันไปคนละทีสองทีโทษฐานหวงบอลยิงเองในบางจังหวะแต่ 2 ประตูที่เขาทำได้เป็นการปูทางสู่ชัยชนะในบั้นปลาย
ครับต้องบอกว่าผมเองก็ไม่คิดว่า ยูไนเต็ด จะกล้าหาญชาญชัยอะไรขนาดนี้และยังรู้สึกลึกๆว่า วิลล่า ปล่อยจอยเล่นแย่ยังไงเต็มที่ก็แค่เสมอ
แม้กระทั่ง ยูไนเต็ด บุกเข้าใส่ตั้งแต่เสียงนกหวีดดังตั้งแต่วินาทีแรก ถ้าเป็นมวยผมมองเจ้าถิ่นเป็นพวกมวยคางเปราะ/ลิ้นปี่บางแต่เลือกเดินหน้าออกหมัดชุดโดยไม่ห่วงจุดอ่อนที่กล่าวมาเลย
แน่นอนครับสิ่งที่แข้ง “ผี” แสดงออกนั้นมาจากสถานการณ์บีบบังคับและเสียงแฟนบอลปลุกเร้าซึ่งเป็นสิ่งที่ อูไน และลูกทีมวางแผนต้านทานมาล่วงหน้าแล้ว
แต่จะยอมต้านแบบนี้กี่นาทีก็ได้คำตอบคือประตูขึ้นนำ 1-0 ของ แม็คกินน์ ก่อน เดนด็องเกอร์ จะมาบวกเพิ่ม 2-0 อีก 5 นาทีต่อมา
3 แต้มของ วิลล่า รอแพ็คใส่กล่องเตรียมขนสู่เมืองเบอร์มิงแฮมไว้แล้วครับ
ผิดตรงที่ อูไน เหมือน “บิ๊กแอนท์” ที่ยังยึดมั่นปรัชญาของตัวเอง ตั้งรับดันไลน์สูงวัดใจให้ แมนฯยูฯ วางบอลข้ามหัวและใช้ มาร์ติเนซ คอยออกมาตัด
อย่างไรก็ดีอีกจุดที่ วิลล่า มักพลาดกันเองคือมั่นใจในการตั้งบอลหน้าเขตโทษหรือในแดนตัวเอง
การถูก บรูโน่ ที่วันนี้ขยันเหลือเกิน (มีส่วนกับประตูทั้ง 3 เม็ด) แอบย่องฉกบอลตรงกลางก่อนไหลให้ แรชฟอร์ด แอสซิสต์ให้ การ์นาโช่
เป็นช็อตที่สามารถใช้คำว่า “ปลุกผี” ขึ้นมาจากหลุมได้ตรงความหมายที่สุด
เช่นเดียวกับลูก 2-2 ที่ วิลล่า เสียบอลกลางสนาม (อีกแล้ว) โดยที่ไลน์แนวรับดันขึ้นมาสูงเหมือนเคย โดนบุกทีต้องวิ่งหน้าตั้งเหลือพื้นที่ให้ บรูโน่ ครอสเหลือๆ
วันนี้ชัยชนะแลกมาด้วยทุ่มเทของนักเตะหลายๆคนถึงขนาดที่ว่า การ์นาโช่ เป็นตะคริวท้ายเกม
และน้องแกดูเหมือนจะมีของเมื่อถูกโยกไปเล่นทางขวามากกว่าทางซ้ายนะครับ 2 ลูกที่ทำได้ก็ซีกขวาทั้งหมด
การที่ แรช ไวกว่าออกมาวิ่งทางซ้ายและเล่นบอลมีน้ำใจไม่บ้ายิงจะอันตรายมากหากมี การ์นาโช่ วิ่งแล่บขึ้นมาทางขวา
จริงๆแท็คติกส์นี้ควรได้ 2 ลูกด้วยถ้าไม่โดน VAR จับล้ำหน้าไปลูกนึงก่อน ล้ำแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ครับจุดพีคที่ทำให้ แมนฯยูฯ ได้ 3 แต้มอย่างสมบูรณ์แบบคือการปลดล็อกประตูของ ฮอยลุนด์ ทำให้บรรยากาศในถิ่น โอลด์แทรฟฟอร์ด กลับมามีความหวังพลิกสถานการณ์กันใหม่อีกรอบ
นี่คือชัยชนะสุดดราม่าราวกับเคาะระฆังต้อนรับ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ที่ซื้อหุ้น 25% เป็นเงินกว่า 1.25 พันล้านปอนด์ “ผี” ยุคใหม่มาแน่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
รวมถึงยังเป็นการเซฟเก้าอี้ ETH ออกไปได้อีกอย่างน้อยๆก็ถึงปีหน้า ทุกๆคนย่อมได้รับโอกาสและเวลาครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ในสถานการณ์ตามคู่ต่อสู้อย่างน้อย 2 ลูก แมนฯยูฯ สามารถพลิกชนะมาได้มากถึง 14 นัดโดยในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกพวกเขาทำได้มากกว่าทีมอื่นๆถึง 5 เกมเลยทีเดียว
“ปีศาจแดง” ไม่แพ้ใครที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด ในวัน Boxing day มาตั้งแต่ปี 1978 โดยตลอด 20 เกมในวันที่ 26 ธันวาคมพวกเขาชนะ 17 เสมออีก 3
และหากนับรวมผลการแข่งขันทั้งหมดในวัน Boxing day ยูไนเต็ด ชนะมากถึง 54 เกมเหนือทุกๆทีมในประเทศนี้
ที่มา: soccersuck