เดจาวู 2 สนามแต่เฮ 1 // “ค้อน” บุกน้อยต่อยหนัก
พรีเมียร์ลีกคู่ 3 ทุ่มเรามีผู้ประสบภัยในลักษณะเดียวกันแต่จุดจบต่างกันนั่นคือ แมนฯยูฯ และ อาร์เซนอล
“ปีศาจแดง” ตาม ฟอเรสต์ ถึง 2 ลูกภายใน 4 นาทีในขณะที่ “ปืนใหญ่” ยังโดนบอลกันไม่ครบคนแค่ 57 วินาทีถูก ฟูแล่ม เปิดซิงกลายเป็นประตูที่ไวที่สุดในซีซั่นนี้ไปทันที
ช่วงต้นเกมเป็นอะไรที่คุณต้องระวังและปลุกเร้าตัวเองให้เป็นนิสัยครับเพราะแน่นอนการที่ emotional อารมณ์ร่วมของเกมยังไม่มาคุณเสียประตูได้ง่ายๆเลย
ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้รักษาประตูของ ยูไนเต็ด ผู้คว้าแชมป์เมเจอร์กับสโมสร 21 รายการวิเคราะห์ช่วงพักครึ่งโดยประโยคที่ทำให้ผมต้องหยุดกินถั่วโก๋แก๋และหันมาจ้องที่ทีวีคือ…
“เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
“ยักษ์เดนส์” พูดถึงจังหวะเตะมุมที่นำมาสู่การเสียประตูในนาทีที่ 1.27 ที่นักเตะเจ้าถิ่นไปยืนอยู่ในระยะกรอบ 6 หลากันถึง 5 คนแต่กราฟฟิคตีตาราง 4 เหลี่ยมรอบจุดโทษจนถึงเส้น 18 หลาไม่มีใครเลย
ถ้ามีนักเตะยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีทางเลยที่ เบรนแนน จอห์นสัน จะจุดพลุเคลียร์ทิ้งอยู่คนเดียว
ซ้ำร้ายดวงแตกแสงแยงตาจน วาน บิสอาก้า ต้องเอามือป้องก่อนเทคตัวขึ้นโหม่งและก็แพ้ กิ๊บบ์ส-ไวท์ ในที่สุด
เช่นเดียวกับประตูที่ 2 เป็นอะไรที่งี่เง่าเต่าตุ่นสุดๆเมื่อจังหวะเตะมุมที่มีนักเตะเจ้าถิ่นยืนล้อม โบลีย์ ถึง 6 ต่อ 1 แต่กลับให้โหม่งแบบไม่ได้เทคตัวด้วยนะครับ แค่เบี่ยงตัวหลบบอลด้วยความตกใจแต่กลายเป็นดีซะงั้น
โอนาน่า ไม่ตะโกนด่ายังไงไหว
วันนี้โชคดีที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ติด “คริ” ช่วยทีมมาได้ 2 ลูก (ตีไข่แตกและเรียกจุดโทษ 3-2)
ส่วนลูกก่อนหน้านั้น 2-2 ผมเห็นด้วยกับ ชไมเคิ่ล ว่า บรูโน่ ฉลาดวิ่งเลี้ยงไลน์เป็นเส้นทแยงมุมนิดนึงจนตัวเองไม่ล้ำหน้า
จนถึงตอนนี้ 3 นัดของ “ปีศาจแดง” ฟอร์มไม่เข้าตาแฟนๆซักเท่าไหร่ ยิ่งดูยิ่งรู้สึกกังวลลุกนั่งไม่ค่อยสบายตัว
ในระหว่างที่รอ ฮอยลุนด์ มาช่วยจบสกอร์ปัญหาแนวรับที่รั่วง่ายผิดปกติจำเป็นต้องรีบแก้ไขให้ได้โดยไว
ถ้าวันที่คู่แข่งไม่ใช่ “เจ้าป่า” จุดจบอาจไม่สวยเหมือนเจอกับ “เจ้าป่า”
ฝั่ง เดอะ กันเนอร์ ตอนนี้รู้ตัวแล้วนะครับว่าการจะไต่ระดับไปให้ถึงมาตรฐานที่เคยสร้างไว้เมื่อซีซั่นก่อนไม่ง่ายเลย
เพราะจะให้เลยเส้นที่ว่ามันก็ต้องแชมป์แล้วแต่ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า โยน 2 แต้มทิ้งไปต่อหน้าต่อตา
อาร์เซนอล อุตสาห์พลิกสถานการณ์สร้างบทหนัง “คัมแบ็ค” กลับมาหล่อๆจาก 2 ซูเปอร์ซับที่ลงมาเปลี่ยนเกมทั้ง วิเอร่า (เรียกจุดโทษและจัด 1 แอสซิสต์) และ เอ็นเคเทียห์ ผู้ยิงประตูแซง 2-1
ทุกอย่างเป็นใจให้หมดหลัง ฟูแล่ม เหลือ 10 ตัวในนาที 83 แต่เจ้าถิ่นกลับทำตัวเองให้กดดันด้วยการผ่อนเกมให้ความสำคัญกับเกมรับ
ปล่อยให้ “เจ้าสัว” ที่ไม่มีอะไรจะเสียค่อยๆมีโอกาสจนกระทั่งมาตีเสมอจากลูกเตะมุมที่ดวงคนจะโดนหลัง จอร์จินโญ่ ไปผลัก ราอูล ฮิเมเนซ แคนนอนหลัง ซินเชนโก้ จนโหม่งวืดก่อนไปเข้าทาง ปาลินญ่า เสียอย่างงั้น
โจทย์ใหญ่ในการล้ม แมนฯซิตี้ คือคุณต้องเช็กบิลในเกมลักษณะแบบนี้ให้ได้ครับ 3 แต้มมันต้องมาแล้ว
นี่ยังถือว่าทำบุญมาเยอะไม่แพ้คาบ้านหลัง “พี่ถึก” อดาม่า ตราโอเล่ วิ่งแข่งครึ่งสนามลากเข้าไปยิงติดเซฟ (หน้า) แรมส์เดล
ในแง่ของแท็คติกส์แฟน “กูนเนอร์ส” ตั้งคำถามกันเต็มโซเชี่ยลว่าเริ่มคิดเยอะจนหลอนเมายาไปหมดแล้ว
การเอา ปาเตย์ มาเล่นแบ็คขวาทั้งๆที่ควรให้ เบน ไวท์ ปักตำแหน่งนี้และส่งเซนเตอร์จริงๆอย่าง กาเบรียล ลงมาทำให้ “ปืน” เล่นได้ไม่เต็มศักยภาพ
เพียงเพื่อจะให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ มาเล่นตรงกลางในระบบ 4-3-3 ถึงกับโยก ปาเตย์ คือความฉิบหาย
ซ้ำร้าย “น้องไก่” เล่นไม่ออกก่อนถูกเปลี่ยนตัวในนาที 56 (โดนถอดไปพร้อมๆ ปาเตย์)
บังเอิญสุดๆครับที่วันอาทิตย์หน้า 2 ทีมที่ยังค้นหาตัวเองอย่าง อาร์เซนอล และ ยูไนเต็ด ต้องมาเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปิดท้ายขอพูดถึงนิดหน่อยกับเกมผลที่หลายคนอาจจะงงหลัง เวสต์แฮม บุกไปชนะ “ต่างดาวผู้ดี” ไบรท์ตัน ถึงถิ่น 3-1
ก่อนเกมไม่ว่าสำนักไหนต่างเทคะแนนให้ “นกนางนวล” อย่างเป็นเอกฉันท์จากระบบการเล่นที่โคตรแน่นแม้จะเสียตัวหลักไปหลายตัวและผลงาน 2 นัดชนะรวดยิงไส้แตก 8 เม็ดบอกทุกอย่างหมดแล้ว
แต่เอาเข้าจริงแท็คติกส์หากินที่สุดโบราณของ เดวิด มอยส์ “เป็นผู้ชนะ” อย่างเด็ดขาด
สไตล์การทำทีมของ “น้าอีที” ไม่ใช่ของใหม่และต้องบอกว่าแกเล่นแบบนี้ทุกนัด คือใครอยากครองบอลอยากบุกใส่มึงบุกมา กูอุดแบบนี้แหละ ถ้าตัดได้ก็รอสวน จะยิงได้ไม่ได้ไม่รู้
สไตล์น่าเบื่อน่ารำคาญอันนี้แหละครับที่ทำให้ก้าวไปถึงแชมป์ยูโรป้า คอนเฟอร์เรนซ์ลีกเหนือ ฟิออเรนติน่า จนสื่อ อิตาลี ตราหน้าแท็คติกส์ที่ใช้โคตร “ไดโนเสาร์”
ทั้งนี้ทั้งนั้นระบบ “ไดโนเสาร์” ของ มอยส์ จะ “ทริกเกอร์” แสดงอิทธิฤทธิ์ได้นั้นต้องมีคู่มือการใช้จาก 2 นักเตะทั้ง โบเว่น และ อันโตนิโอ
ดูได้อย่างลูกแรกเป็นลายเซ็นที่ชัดเจนสุดๆคือรับในแดนทั้งทีมก่อนที่ วอร์ด เพราส์ ดักตัดบอลที่กลางสนามปุ๊บก็จ่าย direct ยาวให้ อันโตนิโอ ไปวิ่งแข่งเบียดแย่ง เว็บส์เตอร์ (ที่ไม่ยอมเตะทิ้ง)
ส่วน 2 ลูกหลังการเล่นแบบเดียวกันแต่เพิ่มเทคนิคการดูดบอลของ โบเว่น ที่ผู้บรรยายอังกฤษใช้คำว่า “perfection”
ลูกนี้ทำให้ผมนึกถึง โม ซาลาห์ เมื่อ 2 ปีก่อนในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกมาชนะ เวสต์แฮม 3-1 (สกอร์เหมือนกันเลยแฮะ) ทั้ง 2 คนดูดบอลลงเนียนระดับโลกทำให้เสี้ยววินาทีต่อมายิงประตูได้ในทันที
แต่ถามว่าลูกไหนสุดยอดและยากกว่ากันผมขอเลือกลูกของ โบเว่น ครับเพราะคนที่เล่นบอลจะรู้อยู่แล้วว่าการเอาบอลลงและยิงด้วยเท้าข้างเดิมแม่งยากมากๆ ของ ซาลาห์ ยังจบด้วยขวาแล้วยิงด้วยซ้าย
เช่นเดียวกับลูกที่ 3 จังหวะนี้ต่อหน้าต่อตา มอยส์ เลยครับ บอลโกลคิกจากผู้รักษาประตูโด่งแบบนกตายแต่ โบเว่น ดูดลงหยั่งกะมีแม่เหล็กก่อนแทงให้ อันโตนิโอ โชว์พลิกบอลไถยิงตามสไตล์
2 ลูกหลังจะเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีนักเตะทักษะดีๆอย่าง โบเว่น ที่เป็นลูกรักในระบบนี้ของ มอยส์
พูดได้ว่าผลลัทพ์จากวิธีการเล่นแบบนี้มันออกแนว “แล้วแต่วัน” และไม่ค่อยจีรังยั่งยืนเนื่องจากเงื่อนไข 1 2 3 ต้องเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
แต่สำหรับ “ขุนค้อน” นี่คือแท็คติกส์ที่พวกเขาพร้อมเสี่ยงแลกเพื่อการอยู่รอดครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ ชนะ 13 เกมในลีกเมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลัง 2 ประตูหรือมากกว่านั้น นับเป็นสถิติที่เหนือทุกๆทีมในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
นับตั้งแต่เดบิ๊วต์ในพรีเมียร์ลีกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ไม่มีนักเตะคนไหนที่ยิงหรือจ่ายมากไปกว่า บรูโน่ อีกแล้ว (12 นัด)
ฟอเรสต์ ใช้เวลาเพียง 3 นาที (3.47) ยิง 2 ประตูใส่ แมนฯยูฯ ทำให้ “ปีศาจแดง” ต้องบันทึกเรคคอร์ดสโมสรจากการเสีย 2 ประตูในลีกเร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกไปเรียบร้อย
แต่ “เจ้าป่า” ก็ต้องเศร้าเมื่อพวกเขากลายเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่ขึ้นนำ 2 ประตูใน 4 นาทีแต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้
ตาอิโว อาโวนิยี่ ยิงประตูในการลงสนาม 7 เกมหลังให้ ฟอเรสต์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะแอฟริกันคนที่ 3 ที่ยิงประตูในลีก 7 เกมติดต่อกันต่อจาก เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และ โม ซาลาห์
อาร์เซนอล เกมรับย่ำแย่เก็บคลีนชีตในบ้านได้แค่ 4 จาก 21 เกมนับตั้งแต่ออกสตาร์ตเมื่อฤดูกาลที่แล้วโดยหากนับ 17 ทีมในลีก 2 ฤดูกาลหลังสุดมีเพียง ฟูแล่ม เพียงทีมเดียวเท่านั้นที่เก้บคลีนชีตในบ้านได้น้อยกว่าพวกเขา (2)
“ปืนใหญ่” กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่เสียประตูภายในนาทีแรกถึง 3 หนในปีปฏิทินเดียว (เกมพบ บอร์นมัธ, เซาท์แฮมป์ตัน และล่าสุด ฟูแล่ม)
ฟาบิโอ วิเอร่า ที่ลงสนามเป็นตัวสำรองในนาที 56 กลายเป็นซูเปอร์ซับคนแรกที่เรียกจุดโทษและทำแอสซิต์ได้นับตั้งแต่ อิเฮียนาโช่ เคยทำไว้กับ เลสเตอร์ เมื่อเดือนมกราคม 2020 แต่สำหรับสโมสร “ปืนใหญ่” วิเอร่า ยืนหนึ่งเป็นคนแรกไปแล้ว
ไบรท์ตัน สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของ เวสต์แฮม มากถึง 68 ครั้ง เป็นตัวเลขที่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 นับสำหรับทีม “ผู้แพ้” (ตั้งแต่ฤดูกาล 2008-09) หลัง แมนฯ ซิตี้ เคยทำไว้สูงถึง 79 ครั้งแต่พ่าย แมนฯยูฯ เมื่อเดือนธันวาคม 2019
เจมส์ วอร์ด เพราส์ (1 ประตู 2 แอสซิสต์) เป็นนักเตะคนที่ 3 ของ เวสต์แฮม ที่มีส่วนรวมกับ 3 ประตู+ ใน 2 เกมแรกต่อจาก เดวิด ดิ มิเคเล่ และ โธมัส ฮิตเซิ่ลแบร์เกอร์
ในครึ่งแรก เวสต์แฮม ผ่านบอลกันแค่ 31 ครั้งซึ่งนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติหนแรกในฤดูกาล 2003-04 มีเพียงทีมเดียวที่ผ่านบอลในครึ่งแรกน้อยที่สุดคือ วัตฟอร์ด ที่พบกับ ปอร์ทมัธ เมื่อปี 2006 (30 ครั้ง)
นอกจากนี้ “ขุนค้อน” ครองบอลในเกมนี้แค่ 21.5% แต่ชนะ 3-1 ซึ่งนับตั้งแต่ 2003-04 ทีมที่ครองบอลน้อยที่สุดแล้วยิงได้ 3 ลูกมีเพียง นิวคาสเซิ่ล พบ แมนฯซิตี้ เมื่อปี 2021 เท่านั้น (ครองบอลแค่ 18%)
เดอ แซร์บี้ กุนซือ ไบรท์ตัน คุมทีมในลีก 35 เกมมีประตูเกิดขึ้นมากถึง 123 ลูก (ยิง 70 เสีย 53) เฉลี่ยแล้วทุกๆเกมมีประตู 3.51 ลูกเป็นค่าเฉลี่ยสูงสุดต่อเกมเหนือผู้จัดการทีมทุกคน (ที่คุม 30 เกม+)
ที่มา: soccersuck