เรื่องน่ารู้…ก่อนดู ‘ช้างศึก’ ลุยคัดบอลโลก

ทีมชาติไทย เตรียมลงประเดิมสนามในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง พบกับ ทีมชาติจีน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ เวลา 19.30 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

วันนี้ Soccersuck มีเรื่องน่ารู้ ก่อนดู “ช้างศึก” ลุยคัดบอลโลก (อีกครั้ง)

1.เพิ่มทีม

ฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย จะกลับมาจัดในทวีปอเมริกาเหนืออีกครั้ง แต่คราวนี้มีถึง 3 ชาติร่วมเป็นเจ้าภาพคือ สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และ แคนาดา เนื่องจาก ฟีฟ่า ได้เพิ่มจาก 32 เป็น 48 ทีมเป็นครั้งแรก นั่นทำให้การเเข่งขันจะเพิ่มจากเดิม 64 เเมตช์ ไปเป็น 104 เเมตช์ตลอดทัวร์นาเมนต์ โดยเเข่งมาราธอนถึง 39 วัน จากเดิมที่เเข่งเเค่ 28 วัน ในครั้งล่าสุดที่กาตาร์

2.เพิ่มโควต้า

แน่นอนว่าการเพิ่มจาก 32 เป็น 48 ทีม ทำให้โควต้าแต่ละทวีปเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนี้

ยุโรป จาก 13 ทีม เป็น 16 ทีม

แอฟริกา จาก 5 ทีม เป็น 9+1 ทีม

อเมริกาใต้ จาก 4.5 ทีม เป็น 5+1 ทีม

เอเชีย จาก 4.5 ทีม เป็น 8+1 ทีม

โอเชียเนีย จาก 0.5 ทีม เป็น 1+1 ทีม

คอนคาเคฟ (ไม่นับเจ้าภาพ 3 ทีม) จาก 3.5 ทีม เป็น 3+2 ทีม

เพลย์ออฟ 2 ทีม (6 ทีมจาก 5 ทวีป)

3.เพิ่มรูปแบบคัดเลือก

การเพิ่มทีม เพิ่มโควต้า ทำให้แต่ละทวีปมีรูปแบบการแข่งขันรอบคัดเลือกเปลี่ยนแปลงไป โดยในทวีปเอเชียจะมีถึง 4 รอบด้วยกัน

รอบแรก ทีมที่มีแรงกิ้งต่ำกว่าอันดับ 27 ของทวีป (อันดับ 28-45) จะเริ่มต้นในรอบนี้ ซึ่งจะประกบคู่แข่งขันแบบน็อคเอาท์ (เหย้า-เยือน) หาผู้ชนะจำนวน 9 ทีม ผ่านเข้าไปเล่นในรอบคัดเลือกรอบสอง

รอบสอง ทีมที่มีแรงกิ้งอยู่ในอันดับ 1-27 ของทวีป จะเริ่มต้นแข่งขันในรอบนี้โดยอัตโนมัติ (รวมถึง ทีมชาติไทย) บวกกับ 9 ทีมผู้ชนะจากรอบแรก รวมเป็น 36 ทีม และจะแบ่งเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ซึ่งอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้าสู่ รอบคัดเลือก รอบสาม หรือรอบ 18 ทีมสุดท้ายต่อไป ขณะเดียวกัน ทั้ง 18 ทีมจะได้สิทธิ์ลงเล่นในศึก เอเชียน คัพ 2027 รอบสุดท้าย ที่ซาอุดิอาระเบีย โดยอัตโนมัติ

รอบสาม 18 ทีม จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม แข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งทีมอันดับ 1 และ 2 ของทั้ง 3 กลุ่ม รวม 6 ทีม จะได้ตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย แบบอัตโนมัติ ส่วนทีมที่จบอันดับ 3 และ 4 ของแต่ละกลุ่ม (6 ทีม) ยังได้ลุ้นต่อในรอบคัดเลือกรอบสี่

รอบสี่ 6 ทีม จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม แข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งทีมอันดับ 1 ของทั้งสองกลุ่ม จะได้ตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 2 ของแต่ละกลุ่มในรอบนี้จะได้ไปเล่นในรอบ Inter-Continental Play-Off หรือ รอบเพลย์ออฟกับทวีปอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นโควตาสุดท้าย

4.เพิ่มความหวัง

แน่นอนว่า แต่ละชาติมีความหวังไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับทัพ “ช้างศึก” ของเรา ที่ยังไม่เคยสมหวัง หลังจากก่อนหน้านี้ มีแค่ 2 ครั้งที่ ทีมชาติไทย เข้าใกล้ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มากที่สุดคือ ฟุตบอลโลก 2002 และฟุตบอลโลก 2018

ครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2002 มีโควตาให้ทวีปเอเชียแค่ 2 ทีมครึ่ง เนื่องจาก เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม ซึ่งในครั้งนั้น “ปีเตอร์ วิธ” กุนซือชาวอังกฤษ สามารถพาทีมชาติไทยเข้ามาถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายเอเชีย ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม เอาแชมป์กลุ่มไปเตะฟุตบอลโลก ส่วนอันดับ 2 มาเตะกันเพื่อหาทีมไปเพลย์ออฟกับทวีปอื่น โดยไทยอยู่สายเอ ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, บาห์เรน, อิรัก ผลปรากฏว่า ไทย เสมอ 4 แพ้ 4 ไม่ชนะใคร ยิงได้ 5 เสีย 15 เก็บได้ 4 คะแนน จบบ๊วยของกลุ่ม

ครั้งที่ 2 ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เป็นเจ้าภาพ ครั้งนั้น ทีมชาติไทย คุมทัพโดย “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง สามารถพาทีมเข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้ายเอเชีย ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม เอาอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนอันดับ 3 ไปเพลย์ออฟ ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มบี ร่วมกับ ญี่ปุ่น, ซาอุดิอาระเบีย, ออสเตรเลีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิรัก ผลปรากฏว่า ไทย เสมอ 2 แพ้ 8 ไม่ชนะใคร จบบ๊วยของกลุ่มอีกครั้ง

โดยในรอบนี้ “ซิโก้” คุมทีม 7 นัดแรก เสมอ 1 แพ้ 6 ก่อนลาออก หลังบุกแพ้ ญี่ปุ่น 0-4 พร้อมวลีเด็ด “ใครไม่อาย ผมอาย” จากนั้น 3 นัดหลัง “มิโลวาน ราเยวัช” มาคุมต่อ เสมอ 1 แพ้ 2

5.ความพร้อมช้างศึก

หลังจากที่เมื่อ 4 ปีก่อน ทีมชาติไทย ยุติเส้นทางแค่รอบคัดเลือก รอบสอง ภายใต้การคุมทัพของ อากิระ นิชิโนะ มาในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ครั้งนี้ “ธีราทร บุญมาทัน” ถึงกับบอกว่าเป็นชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ภายใต้การคุมทัพของ มาโน โพลกิง และผู้จัดการทีมใจป้ำอย่าง “มาดามแป้ง”

ขุนพล “ช้างศึก” ชุดนี้นำทัพมาโดย 2 กัปตัน “อุ้ม-เจ” ธีราทร บุญมาทัน และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ รวมถึง ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าเบอร์หนึ่งที่มีประสบการณ์ข้นคลั่ก บวกกับ 4 นักเตะที่กำลังค้าแข้งในต่างแดนเวลานี้อย่าง สุภโชค สารชาติ, ศภณัฐฏ์ เหมือนตา, เอกนิษฐ์ ปัญญา และ เอเลียส ดอเลาะ ที่ขาดไปก็เพียง นิโคลัส มิคเกลสัน แบ็กขวาตัวเก่งที่ได้รับบาดเจ็บ จึงถือเป็นชุดใหญ่ฟูลทีมแบบไม่มีกั๊กให้เสียอารมณ์

6.สองนัดชี้ชะตา

ทีมชาติไทย จะเริ่มลงเตะรอบคัดเลือก รอบสองในกลุ่มซี ที่มีทีมร่วมสายอย่าง เกาหลีใต้, จีน และ สิงคโปร์ โดยนัดแรก จะพบกับ ทีมชาติจีน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ต่อด้วยไปเยือน สิงคโปร์ วันที่ 21 พ.ย. ซึ่งถือเป็นสองนัดชี้ชะตาทัพ “ช้างศึก” ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?

จากนั้นโปรแกรมของ ทีมชาติไทย อีก 4 นัด จะไปเตะกันในปีหน้า ดังนี้

นัดที่ 3 วันที่ 21 มี.ค. 67 (เยือน) เกาหลีใต้

นัดที่ 4 วันที่ 26 มี.ค. 67 (เหย้า) เกาหลีใต้

นัดที่ 5 วันที่ 6 มิ.ย. 67 (เยือน) จีน

นัดที่ 6 วันที่ 11 มิ.ย. 67 (เหย้า) สิงคโปร์

ด่านแรกกับขุนพลแดนมังกร แม้ ไทย จะได้เล่นในบ้าน แต่จากสถิติแมตช์อย่างเป็นทางการที่มีการจดบันทึกไว้ เจอกันทั้งหมด 26 นัด ไทย ชนะแค่ 6 เสมอ 2 และแพ้ไปถึง 18 นัด

โดยเกมเหย้า ไทย พบ จีน ล่าสุดต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2018 ในนัดกระชับมิตร ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งแมตซ์นั้น จีน ชนะไป 2-0

ส่วนนัดล่าสุดเจอกันในรายการ ไชน่า คัพ 2019 รอบรองชนะเลิศ ที่ กวางสี สปอร์ต เซนเตอร์ เมืองหนานหนิง ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย บุกไปชนะ 1-0 จากประตูชัยของ ชนาธิป สรงกระสินธ์

ที่น่าสนใจคือ ซัลมาน อะห์หมัด ฟาลาฮี ผู้ตัดสินชาวกาตาร์ ที่ลงทำหน้าที่ในแมตซ์นั้น จะกลับมาลงตัดสินในนัดนี้

กับเป้าหมายใหญ่ 2 นัดแรก เก็บ 6 คะแนนเต็ม ทัพช้างศึกชุดนี้จะทำได้หรือไม่? เดี๋ยวคงได้รู้กัน!!!

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด