เอาที่ “เสี่ย” สบายใจ สิงห์ยุคแลมพ์หมดสภาพ
ทั้ง ไบรท์ตัน และ บอร์นมัธ ทำลายอาถรรพ์ตัวเองด้วยการบุกไปเอาชนะในสนามที่พวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อนในชีวิต
สนามที่ว่าเป็น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ เชลซี และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ของ “ไก่เดือยทอง”
“เดอะ เชอร์รี่ส์” สู้ยิบตาผลัดกันนำคนละหนก่อนฟ้าผ่ากลางลอนดอนเมื่อ hit and run ของทีมเยือนกลายเป็นประตูชัยในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย 90+5
ทำให้ บอร์นมัธ ชนะเป็นนัดที่ 4 จาก 8 เกมหลังสุดกระโจนขึ้นมาอยู่ที่ 14 หายใจหายคออีกเฮือกใหญ่
ทิ้งให้ “คลับไก่” ซึ่งโชคดีชนะ ไบรท์ตัน นัดที่แล้วถึงกับเข่าทรุดเมื่อเป้าหมาย top 4 เริ่มห่างไกลจากการที่ยังตามหลัง แมนฯยูฯ 3 แต้มและเตะมากกว่าถึง 2 นัด
เป็นบทสรุปของวิถีชีวิตของ สเปอร์ส ที่ผีเข้าผีออกจนสโมสรไปไม่ถึงไหนซักที
อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส ที่ว่าหนักแต่ยังอยู่อันดับ 5 และคงรู้สึกดีขึ้นเยอะสุดๆหากมองไปที่ เชลซี ที่ล่าสุดแพ้ ไบรท์ตัน คาบ้าน 2-1
ส่งผลทำให้ แฟร็งค์ แลมพาร์ด เจิม 3 นัดแพ้รวดและการพ่ายแพ้สดๆร้อนๆกลายเป็นบอลคนละชั้นจนดูไม่ออกว่าใครเป็นเจ้าบ้านใครเป็นทีมเยือนกันแน่
ด้วยความเคารพ “นกนางนวล” เล่นสไตล์นี้มานานแล้ว เรื่องที่เราจะมาตกใจหรือเซอร์ไพรซ์มันเกินคำนั้นไปแล้ว
และต้องไม่ลืมว่าเมื่อเดือนตุลาคมก็เคยจัดหนักใส่ พ็อตเตอร์ นายเก่าแบบไม่ไว้หน้า 4-1
สเปอร์ส, ลิเวอร์พูล, แมนฯยูฯ ต่างเจอทรงบอลสุดเขี้ยวระบบจ๋าของ ไบรท์ตัน รูปเกมเป็นรองกันถ้วนหน้า
มีแค่ สเปอร์ส ซึ่งดวงดีจัดเอาชนะทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนด้วยน้ำมือของผู้ตัดสินล้วนๆ
“สิงห์บลู” ในยุค แลมพ์ ถูกสอนบอลชนิดที่ว่าแฟนๆที่นั่งดูอยู่พะอืดพะอมรับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
สถิติตัวเลขที่ต้องขยี้ตาซ้ำ 2 รอบคือ ไบรท์ตัน มีโอกาสยิง เชลซี มากสุดๆถึง 26 ครั้งจนเป็นสถิติใหม่ของเจ้าบ้านที่โดนล่อเป้าเยอะขนาดนี้
ในขณะที่เด็กๆของ แลมพ์ กว่าจะกระเสือกกระสนแบกร่างหาโอกาสยิงมีแค่ 8 หน ห่างกันถึง 3 เท่าตัว
เกมที่บุกไปแพ้ 4-1 ยังครองบอลมากกว่า มีโอกาสยิงสูสี 19-15 แต่งวดนี้โดนหยามน้ำหน้าสุดๆครับ
ความนิ่งในการเก็บบอลและแก้เพรสของนักเตะ ไบรท์ตัน ณ เวลานี้ ผมให้เป็นรองแค่ แมนฯซิตี้ เพียงทีมเดียวเท่านั้น
ถ้าไม่มีลูกแฉลบจากโอกาสหนแรกในนาทีที่ 13 เชื่อว่า แลมพ์ น่าจะรอประตูปลดล็อกต่อไปหลังเกมนี้แน่นอน
ด้วยระบบของ ไบรท์ตัน การโดนนำไปก่อนไม่ได้ทำให้ทีมแกว่งหรือดูเสียขบวนอะไรเลยครับ ตรงกันข้ามยิ่งโหมหนักกว่าเดิมด้วย
และเกมวันนี้บ่งบอกชัดเจนมากว่าตัวสำรองหรือตัวโรเตชั่นของ ไบรท์ตัน ทดแทนและเทียบเท่าตัวจริงจากการที่ทั้ง 2 ลูกมาจากตัวสำรองทั้งสิ้น
แม้จะเป็นสถานการณ์สร้างวีรบุรุษที่เปลี่ยนเนื่องจากมีตัวเจ็บ 2 คนตั้งแต่ครึ่งแรก
การเคาะบอลสั้นแบบ “ฟุตซอล” ทำให้ไม่ใช่แค่ เชลซี ในวันนี้วิ่งแทบไม่เจอบอลแต่เป็นกับทุกทีมที่ยังมอง ไบรท์ตัน เป็นทีมเล็กและพยายามวิ่งเข้าใส่เพื่อหวังว่าจะเกิดอาการตกใจเสียบอลกลับมาให้บ้าง
เปล่าเลยครับ “นกนางนวล” นอกจากลำเลียงและใช้ทีมเวิร์คในภาคพื้นดินแล้วยังวูบวาบในจังหวะครอสโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ แดนนี่ เวลเบค ลงมาแทน อีแวน เฟอร์กูสัน (เจ็บ) เพียงแค่ 3 นาทีก็โหม่งตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากถูกเล่นงานด้วยทีมเวิร์คแล้ว ความสามารถเฉพาะตัวจาก มิโตมะ วันนี้ยังฉายแสงเช่นเดิม
จังหวะดวลเดี่ยวกับ ชาโลบาห์ ตกอยู่ในสภาพเดียวกับ TAA ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของแข้ง ญี่ปุ่น ไม่ใช่นักบอลแต่เป็นไอศครีมมิคกี้เมาส์ ซันเดย์ ใน สเวนเซ่น
การกระชากหนีทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องกดสูตรสับขายึกยักให้เสียเวลา ดึงจังหวะโยกเอวนิดเดียวใช้สปีดต้นที่เหนือกว่าฉีกหลุดถึงเส้นหลัง สร้างปัญหาให้แนวรับคู่แข่งได้ทุกนัดจริงๆ
ที่เป็นจุดขายแสดงถึง โมเดิร์น ฟุตบอล จริงๆของ ไบรท์ตัน คือพวกเขามี energy players ที่วิ่งรุมเข้าแย่งบอลอย่างพร้อมเพรียงเกือบทั้งทีม
ถ้าคิดจะ build up จากหน้าประตูตัวเองกับ ไบรท์ตัน อันตรายมากและ เชลซี ในยุค แลมพ์ ล่กแค่ไหนพวกคุณก็รู้
ที่สำคัญนักเตะชุดนี้ยืนกันห่างทำให้ขาดการ support ซึ่งกันและกัน
จุดนี้จุดเดียวทำให้ “สิงห์” ลืมตาอ้าปากยากมาก โดนเร่งบ่อยๆต้องสวมวิญญาณทีมเล็กสาดทิ้งให้เซนเตอร์เขาเก็บกิน
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆคือก่อนที่จะเกิดประตูชัยของ เอ็นซิโซ่ ทาง เชลซี ตัดบอลกำลังรอสวนแต่แข้ง “Seagulls” มะรุมมะตุ้มรีบแย่งมันกลับมา
ความขยันงอกเงยกลายเป็นหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดในฤดูกาลนี้ในทันที
แมวมอง ไบรท์ตัน สุดจริงครับ เจ้าหนู เอ็นซิโซ่ ในวัย 19 ปีย้ายมาจาก ลิเบอร์ตาด เมื่อมิถุนายนปีที่แล้วด้วยค่าตัว 9.5 ล้านปอนด์
ดูจากสไตล์การเล่นแบบ “ตีนตะขอ” และเทคนิครอบทำให้จัดตัวเลขที่ซื้อมาถูกเป็นขี้ ปั้นดีๆรอย้ายได้กำไร
ประตูที่ยิงใส่ “สิงห์” เป็นลูกที่ 2 จากการลงสนามทั้งสิ้น 11 นัดหลังปลดล็อกเม็ดแรกในเกมบุกไปเอาชนะ บอร์นมัธ 2-0 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
บอกเลยว่า ไบรท์ตัน มาไกลมากจริงๆ ในฐานะที่เป็นเดอะ ค็อป เมื่อฤดูกาล 2017-18 ยังเป็นลูกไล่แจกแต้มให้ “หงส์แดง” อยู่เลย
เยอร์เก้น คล็อปป์ ลูบปากจัดให้ฤดูกาลนั้นไปกลับรวม 9 ลูก (1-5,4-0)
โดยที่ยังตราตรึงคือการบุกไปเอาชนะถึง เอแม็กซ์ สเตเดียม 5-1 วันนั้น ลิเวอร์พูล outclass สุดๆและน่าจะเป็นเกมสุดท้ายที่เราเห็นการหลอกปั่นฟรีคิกลอดกำแพงของ คูตินโญ่ ก่อนจะเกิดแฟชั่น “นอนอุดรู” จนถึงทุกวันนี้
ครับกลับมาที่ เชลซี ตอนนี้แว่วๆมาว่าเห็นแฟนบอลเริ่มประชดกันแล้วว่ามีโอกาสที่ แลมพ์จะ ทำสถิติแพ้รวดจนจบฤดูกาล (เหลืออีก 8 เกม)
ทั้งนี้ทั้งนั้น แลมพ์ ฝีมือไม่ถึงก็เรื่องนึงแต่กระแสด่า ท็อดด์ โบห์ลี่ จากแฟน “สิงห์บลู” ในสนามมาแล้วครับ
ตามโซเชี่ยลมีภาพแฟนบอลจากอัฒจันทร์ด้านบนที่อยู่เหนือเสี่ยท็อดด์กำลังมีปากเสียงชัดเจนดูได้จากภาษากายของเสี่ยท็อดด์ที่ผายมือตอบโต้กลับ
หลายคนไม่พอใจกับการตัดสินใจที่ค่อนข้าง “ไร้กึ๋น” คือถ้าคิดจะเอา แลมพ์ ก็ไม่ควรต้องปลด พ็อตเตอร์ ตั้งแต่ทีแรกเพราะประสบการณ์/ชั่วโมงบินมันห่างกันเยอะเกินไป
หรือย้อนไปไกลกว่านั้นวีรกรรมแปลกๆคือเสี่ยท็อดด์ตัดสินใจปลด ทูเคิ่ล หลังเพิ่งถอยนักเตะใหม่ตอนตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว 250 ล้านปอนด์เพียงแค่ 3 นัด
เรียกว่าไม่ให้เวลาเหมือนที่ให้ พ็อตเตอร์ ซึ่งโอเคเป็นอันเข้าใจได้ว่าคนหลังแกเลือกมากับมือเอง
หลังจบเกมแพ้คาบ้าน 2-1 มีข่าวว่าเสี่ยท็อดด์เข้าไปพบนักเตะในห้องแต่งตัว จะปลุกขวัญหรือให้กำลังใจก็สุดจะแล้วแต่
เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่เสี่ยท็อดด์แกต้มยำทำแกงแบบสุดๆจนไม่มีสุดกว่านี้อีกแล้ว
หากผลงานไม่ดีขึ้นจริงๆ ทางออกเดียวที่เหลืออยู่ผมคิดว่าต้องดัน บรูโน่ ซัลตอร์ ผู้ช่วยฯที่อย่างน้อยก็ฝึกวิชามาจากอาจารย์ พ็อตเตอร์ มาก่อนและแสดงฝีมือในเกมเสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 มาแล้ว
เชลซี ภายใต้ แลมพ์ “ใสซื่อ” และ out to date เกินกว่าจะเอาตัวรอดในฟุตบอลยุคนี้ไปแล้วครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ไบรท์ตัน มีโอกาสยิงทั้งสิ้น 12 หนในครึ่งแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้พวกเขากลายเป็นอันดับ 1 ร่วมในการหาโอกาสส่อง เชลซี ในบ้านมากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04 เลยทีเดียว
หากนับรวมทั้งเกม เชลซี โดน ไบรท์ตัน ล่อเป้ามากถึง 26 ครั้งและกลายเป็นสถิติใหม่ในบ้านของ “สิงห์บลู” ไปเรียบร้อยแล้ว (นับตั้งแต่ 2003-04)
นอกจากนี้สถิติย่อยคือ เชลซี ถูก ไบรท์ตัน ยิง “เข้ากรอบ” ถึง 10 หนในเกมนี้เป็นสถิติสูงสุดร่วมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกเช่นกัน
หลังก่อนหน้านี้ 14 หนในลีก ไบรท์ตัน ไม่เคยเอาชนะ เชลซี ได้เลย (เสมอ 4 แพ้ 10) แต่ตอนนี้ “นกนางนวล” เอาชนะเหย้าเยือน (4-1 และ 2-1)
เชลซี ไม่ชนะเกมพรีเมียร์ในบ้าน 4 นัดติด (เสมอ 2 แพ้ 2) เป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ไร้ชัยในบ้าน 5 นัดติดเมื่อฤดูกาล 2015-16 (เสมอ 1 แพ้ 4) ซึ่งปีนั้นจบที่อันดับ 10
ที่มา: soccersuck