“โก่งตูด” เช็กไลน์ จุดเปลี่ยน (กาง) เกง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการโก่งตูดที่เป็นเรื่องลามกสำหรับพวกเรากลับมีพลานุภาพถึงขั้นพลิกสถานการณ์ให้ อาร์เซนอล กลับมาเอาชนะ แมนฯยูฯ ช่วงทดเจ็บในเกมดราม่าสุดมัน
ผมยกให้ช็อต “โก่งตูด” ของ กาเบรียล ขึ้นหิ้งเทียบชั้นระดับนักฟิสิกส์ระดับตำนานอย่าง อัลเบิร์ต ไอนส์ไตน์ และ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง
เพราะในขณะที่ตัวเองถลำไลน์และยืนอยู่ห่าง กานาโช่ หลายเมตรชั่ววินาทีนั้นเองกองหลังแซมบ้าที่ทำท่าจะวิ่งหยุดและจัดท่า ไมเคิ่ล แจ็คสัน วัดใจเทคโนโลยีจนกระทั่ง กานาโช่ “ไหล่เหลื่อม” เส้นแดงฉิวเฉียด
นี่คือจุดเปลี่ยนของเกมนี้และเป็นการถือกำเนิดของ “มีม” ที่กระฉ่อนโซเชี่ยลไปแล้ว
“ปีศาจแดง” ของ เอริค เทน ฮาก แสดงตัวชัดเจนว่าวันนี้มาซื้อเกมรับและหวังพึ่งทีเด็ดของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในแดนหน้าดังจะเห็นได้จากการยิงครั้งแรกของเกมเป็นประตู 1-0 ทันที
ทีมเยือนรู้ตั้งแต่ก่อนลงสนามว่าต้องเจออะไรจาก “รองแชมป์” ซึ่งกำลังหัวร้อนได้ที่หลังถูก ฟูแล่ม ขโมยแต้มเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว
การฉกฉวยโอกาสจากการเคาเตอร์คืออาวุธเดียวที่พวกเขามีในยามที่ฟอร์มเปิดตัวในซีซั่นนี้ยังติดปัญหาหลายประการ
คิดเล่นๆขำๆถ้ามองในมุมที่ ยูไนเต็ด ตั้งใจมารับคือ “บรรลุเป้า” หากอ้างอิงมาตรฐานการทดเจ็บฤดูกาลที่แล้ว
เสียดายที่ความได้เปรียบมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 35 วินาที การคุมตัวพลาดเต็มๆปล่อยให้ โอเดการ์ด ได้วางเท้ายิงเหน่งๆทั้งที่ในเขตโทษผู้เล่นทีมเยือนมีมากกว่าแทบจะแบ่งหน้าที่คุมตัวได้สบายๆด้วยซ้ำ
จุดสำคัญสำหรับ แมนฯยูฯ ที่ยวบลงทันตาเห็นและเป็นเหตุทำให้เสีย 2 ประตูในช่วงทดเจ็บ 90+6 และ 90+11 คือการเสีย 2 เซนเตอร์อย่าง มาร์ติเนซ และ ลินเดเลิฟ ไปพร้อมๆกัน
ซ้ำร้ายดวงกุดลูกยิงของ ดีแคลน ไรซ์ ในนาทีบาปแฉลบขา อีแวนส์ ตัวสำรองซะอย่างงั้น
การคัมแบ็คของ กาเบรีย เชซุส น่าจะทำให้สาวก “กูนเนอร์ส” มองเห็นแสงสว่างในระยะยาวได้ซักที
เพราะ เอ็นเคเทียห์ ไม่ใช่ตัวจบสกอร์โป้งเดียวหรือสร้างความแตกต่างในจังหวะสำคัญเท่า เชซุส
ในขณะที่ความดื้อหรือจะบอกว่า “ป๋าดัน” ของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่รู้จะไปจบลงตรงไหนในเมื่อเป็นอีกเกมที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ มาตรการเล่นยังต่ำกว่าระดับ “ปืนใหญ่” และนักเตะม้านั่งสำรองคนอื่นๆ
อย่างน้อยๆ ฟาบิโอ วิเอร่า ดูวูบวาบมีเทคนิคมีความมั่นใจมากกว่าและแอสซิสต์ให้ เชซุส ในช่วงเกมเครียดๆจนแฟนบอลต้องร้องเพลง “เธอมาได้ทันเวลาพอดี”
เรื่องการปรับตัวให้เวลาก็อีกเรื่องนึงแต่ช็อต “น้องไก่” จั่วลมเหน่งๆในครึ่งแรกมันตราตรึง ต่อให้นักเตะจะมีปัญหาอะไรก็ตามลูกแบบนี้มันก็ต้องยิงโดนบอลไหมครับ
นี่ยังไม่นับเรื่องความอ้อนแอ้นและเล่นบอลเหมือนไม่มี passion แล้วผมยังมองไม่เห็นเลยว่า “ไค” ดีพอที่จะเป็นตัวจริง ณ เวลานี้
แกรี่ เนวิลล์ ตำนาน แมนฯยูฯ พูดเอาไว้ว่า ไค พลาดโอกาสทองที่จะปลุกชีพตัวเองและสร้างศรัทธาต่อหน้าแฟนบอลทิ้งไปแบบไม่มีชิ้นดี
สำหรับฝั่ง ยูไนเต็ด วันนี้ประเดิมเห็นฟอร์มของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ดูหน่วยก้านและวิธีการเล่นแล้วบอกได้คำเดียวว่า “มึงมาถูกลีกแล้ว”
ด้วยความสูง 191 ซม. เก่งเรื่องถูไถแย่งบอลกับเซนเตอร์จะเข้ามาเพิ่มมิติสไตล์ direct เก็บบอลส่งต่อให้พวกปีกไวๆเอาไปเล่นต่อกินแดนสบายๆ
ลูกที่ VAR ริบเราเห็นกันแล้วนะครับว่า ฮอยลุนด์ เซนส์การเล่นบอลจังหวะเดียวหากใครคิดจะ man on จากด้านหลัง
ครับการชนะ วูลฟ์ และ ฟอเรสต์ ในสภาพที่สะบักสะบอมก่อนมาแพ้ สเปอร์ส และ อาร์เซนอล ถูกระฆังเบรกด้วยฟีฟ่า เดย์ ให้ ETH และลูกทีม regroup กันยาวๆ
แต่มรสุมชีวิตไม่จบง่ายๆเมื่อบทพิสูจน์ของแข็งอีกเกมอย่าง ไบรท์ตัน ณ OTF วันที่ 16 พร้อมลุกเป็นไฟแล้วครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ประตูนาที 95 กับอีก 43 วินาทีของ ดีแคลน ไรซ์ เป็นประตู “ชัย” ท้ายเกมที่มาเลทที่สุดของการเจอกันระหว่าง อาร์เซนอล และ แมนฯยูฯ ไปเรียบร้อยแล้ว
อาร์เซนอล เสียประตูจากการยิงหนแรกของคู่แข่ง 7 เกมในปี 2023 ซึ่งนับว่ามมากกว่าทุกๆทีมเลยทีเดียว
มีเพียง 5 นักเตะที่ยิงประตูโดยไม่นับจุดโทษมากกว่า มาร์ติน โอเดการ์ด ในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ออกสต๊าร์ตฤดุกาลที่แล้ว
โดย 5 แข้งที่ว่าคือ
34 – ฮาลันด์
25 – เคน
19 – ซาลาห์
18 – แรชฟอร์ด
17 – วิลสัน
16 – โอเดการ์ด
“ปืนใหญ่” ไม่แพ้เกมพรีเมียร์ที่ เอมิเรสต์ ในการเจอกับ แมนฯยูฯ 6 เกมหลังสุด (ชนะ 5 เสมอ1) และตอนนี้เข้าเบรกชนะในบ้านเหนือ ยูไนเต็ด 3 เกมติดเป็นหนแรกนับตั้งแต่พฤษภาคม 1991
แมนฯยูฯ ไม่ชนะในเกมพรีเมียร์ที่ลอนดอนมา 6 เกมหลังสุด (เสมอ 2 แพ้ 4) นับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015-2016 ซึ่งเป็นช่วง หลุยส์ ฟาน กัล และ โจเซ่ มูรินโญ่ (6 เกมเท่ากัน)
มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นนักเตะ แมนฯยูฯ คนที่ 2 ที่ยิงประตูในการเจอกับ อาร์เซนอล 3 เกมติดนับตั้งแต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ ทำไว้เมื่อปี 2012-2013
คริสเตียน เอริคเซ่น ทำ 75 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกแล้วแซงหน้า เธียร์รี่ อองรี (74) และ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 5 แข้ง “นอก” ที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้
ที่มา: soccersuck