โดนก่อน FC. GVB ผ่านฉลุย

เปิดหัวเวที ยูโรป้า หนแรกนับตั้งแต่แพ้ เซบีญ่า เมื่อปี 2016 เล่นซะเกือบตายแต่การแก้ปัญหาหน้างาน+กับการทยอยลงสนามของบรรดาตัวจริงทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาแซงเอาชนะ ลัสค์ จาก ออสเตรีย ไปด้วยสกอร์ 3-1

ฉายาใหม่ของ “หงส์แดง” ถูกเปลี่ยนโดยแฟนบอลให้เป็น “โดนก่อน FC.” หลัง 5 เกมหลังสุดโดนนำไปก่อนถึง 4

ถึงแม้จะแซงเอาชนะได้ทั้งหมด 4 เกมแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรีบแก้ปัญหานี้ให้ได้โดยเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆมันฟ้องว่าคุณไม่มีสมาธิและปล่อยให้มันเกิดขึ้นจนเป็นนิสัยไปแล้ว

ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมซูเปอร์แมนที่จะ “คัมแบ็ค” ได้ตลอดไป ต้องมีซักวันที่ต้องแพ้ดังนั้นมีเวลาสะสางก็รีบๆหาวิธีซะ

อย่างไรก็ตามภาพรวมสิ่งดีๆที่ “หงส์แดง” ได้จากเกมนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว….

1. JK ใช้โอกาสนี้ลองของเปลี่ยนทีมยกชุด 11 ตัวและต้องบอกว่าเกมของ ลิเวอร์พูล มีปัญหาจากรูปแบบ modern football เทรนด์ยุคสมัยนี้คือเพรส+เข้าหนัก

2. กลางชุดสำรองไม่เจนจัดพอที่จะฝ่าดงตีนทำให้เกมออกมาตะกุกตะกัก ยกเว้น ไรอัน กราเฟนเบิร์ค ที่บอกได้เลยว่า “ชนะใจ” ผมไปเต็มๆ

3. การเอาตัวรอดพลิกบอลคิดไวทำไวเหมาะกับระบบขึ้นสุดลงสุดและสลับตำแหน่งของ ลิเวอร์พูล เอามากๆ

4. สไตล์การเล่นคล้าย พอล ป็อกบา (แต่เป็นเวอร์ชั่นนิสัยดี) กล่าวคือเป็นนักเตะที่เหมือนสนุกการการเลี้ยงบอลแต่มองหาเพื่อนที่จะจ่ายตลอดเวลา ไม่หวงบอล (อาจเพิ่งย้ายมาใหม่ยังเกรงใจคนอื่น ฮา)

5. หลักฐานชัดเจนคือลูกที่เปิดให้ หลุยส์ ดิอาซ​ ยิง 2-1 เป็นอะไรที่ว้าวมากๆเพราะในระหว่างที่ควบไปเอาบอลที่ เอเลียตต์ ไซด์ก้อยมีการเหลือบมองในกรอบเขตโทษ ไม่ได้วิ่งมองแต่บอลอย่างเดียว

6. เป็นนักเตะที่มีเซนส์จมูกไวมองเห็นโอกาสทำประตูในชั่วพริบตาและต้องย้ำเตือนพวกเราว่าน้องเพิ่งอายุ 21 ปีเท่านั้นเอง

7. จังหวะนี้เกิดขึ้นหลังเปลี่ยน เบน โด๊ค ออกไปแค่ 3 นาที สมมุติว่าถ้าน้องยังอยู่แกถนัดซ้ายจะไม่มีทางเปิดบอลเหมือน GVB แน่นอน

8. นกหวีดพักครึ่งคือเสียงสวรรค์ที่ทำให้พลพรรค “หงส์แดง” กลับไปรับบรีฟจาก JK เนื่องจาก 45 นาทีแรกที่อยู่ในสนามเป็นปัญหาหน้างานที่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว

9. โชคดีสำหรับ “หงส์แดง” ที่ได้จุดโทษตีเสมอไว (นาที 56) ในจังหวะที่ผมมองว่า ดิอาซ ยิงออกไปแล้วถึงโดนรวบทีหลัง

10. แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรมากนักเมื่อพิจารณาจากการเป่าแปลกๆของผู้ตัดสิน มารืโก้ ดิ เบลโล่ จาก อิตาลี ที่ปล่อยเกมทั้งๆที่ควรเป็นลูกฟาว์ลหลายต่อหลายหน

11. ผมชอบ combination play 3-4 หนในครึ่งหลังของ ดิอาซ+หนูน, โซโบ้+GVB ที่ถูกเพรสไวแต่แก้ด้วยการออกบอลเคาะจังหวะเดียวสร้างความได้เปรียบเอาบอลขึ้นหน้าไปเล่นต่อได้ทันที

12. ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว กล้าทำอะไรกับบอลมากกว่าเพลย์เซฟแต่ยังห่างจากมาตราฐานตัวจริงอยู่ 2 เลเวล

13. เกมนี้สามารถเป็น “คำตอบ” ที่ชัดเจนที่สุดในประเด็นแฟนบอลบอกขาย ซาลาห์ เอาเงินแล้วดัน เบนโด๊ค ขึ้นมาแทน

เห็นแล้วว่าการเล่นฟุตบอลให้มีประสิทธิภาพ “ชั่วโมงบิน” สำคัญมากกว่าความเร็วหรือความห้าว

โด๊ค อาจจะมีของถ้าพูดถึงเรื่องเลี้ยงบอลกินตัวและใจเกิน 100 แต่บอลจังหวะสุดท้ายยังไม่ mature คือยังไม่เหมือนแข้งซีเนียร์เล่น

ในวัย 17 ปีถ้าบ้านเราก็แค่เพิ่งม.6 ดังนั้นการที่น้องลัดคิวมาถึงขั้นนี้ได้ถือว่าไวจัดแต่พวกที่บอกให้เป็นตัวจริงแทน “บังโม” ตื่นเถอะครับ

14. คุณอ่านเพลินจนลืมไปว่ามันไม่มีข้อ 7

15. คุณเลื่อนขึ้นไปดูปรากฏว่ามันมีข้อ 7 นี่นา โดนผมหลอก ซอรี่ๆ

16. ผมชอบ โม ซาลาห์ ในเวอร์ชั่น “แก่พรรษา” เอามากๆ ได้บอลปุ๊บมองหาตัวจ่ายตลอด บอลออกจากเท้าคือได้ลุ้นสร้างโอกาสสวยๆ คลาสแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆชัดเจน

ช็อตเด็ดคือการบังบอลยื้อสู้กับ เฟลิกซ์ ลุคเคเนเดอร์ เซนเตอร์เจ้าของความสูง 190 ซม. ก่อนถูกดึงดื้อๆ กกกกแกร่ง

อยู่ในสนาม 16 นาที+ทดเจ็บอีก 6 แต่มีส่วนร่วมเหมือนเล่นเต็มเกมก่อนรับรางวัล 1 ประตู “ลอดดาก” เหนือๆปิดท้าย

ครับช่วงนี้สาวก “หงส์แดง” แลดูมีความสุขเป็นพิเศษทั้งผลงานของทีมตัวเอง (และของคู่แข่ง) นับเป็น 2 เดือนแรกของฤดูกาลที่ออกสต๊าร์ตได้เกินคาดจริงๆ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะหลังถูกยิงขึ้นนำไปก่อนเป็นเกมที่ 4 ในทุกรายการซีซั่นนี้ซึ่งเป็นตัวเลขเท่ากับที่เคยทำได้ทั้งฤดูกาล 2022/23 (ตามหลัง 25 เกมชนะแค่ 4)

โม ซาลาห์ ยิงในเกมยุโรปให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 42 รายการส่งเจ้าตัวทำสถิติเป็นตัวแทนจากสโมสร อังกฤษ​ ทาบ เธียร์รี่ อองรี ของ อาร์เซนอล ไปเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ “บัง” ไม่ยิงก็แอสซิสต์มาตลอด 12 เกมในทุกรายการซึ่งนับเป็นการเข้าเบรกต่อเนื่องที่มากที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้ “หงส์แดง” เลยทีเดียว

5 ประตูที่ หลุยส์ ดิอาซ มีส่วนร่วมในฟุตบอลยุโรปกับ ลิเวอร์พูล ล้วนแล้วมาจากเกมนัดเยือนทั้งหมด (4 ประตู 1 แอสซิสต์)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: