ได้เวลาทวงบัลลังก์! “ช้างศึก” ล่าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17
ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ณ ประเทศกัมพูชา จะมีพิธี เปิด-ปิด อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 และ 17 พฤษภาคม 2566 แต่กีฬายอดฮิตอย่าง ฟุตบอล จะเปิดฉากดวลแข้งกันก่อน 1 สัปดาห์
รู้หรือไม่? ไทย คือ เจ้าแห่งทัวร์นาเมนท์ ที่คว้าแชมป์เกินครึ่ง ถึง 16 สมัย จาก 31 ครั้งที่มีการชิงชัยตั้งแต่ปี ค.ศ.1959
เหรียญทองแรกของ ไทย เกิดขึ้นในครั้งที่ 3 เมื่อได้ครองร่วมกับ พม่า (เสมอ 2-2) ในปี 1965 ที่กัวลาลัมเปอร์ หลังจากใน 2 ครั้งแรก แชมป์ ตกเป็นของ เวียดนามใต้ (1959) และ มาลายา หรือ มาเลเซีย ปัจจุบัน (1961)
ก่อนที่ พม่า จะประกาศศักดาคว้าแชมป์ต่อเนื่อง 4 สมัยซ้อน ในปี 1967, 1969, 1971, 1973
จนกระทั่งในปี 1975 แชมป์เดี่ยวสมัยแรกของ ไทย ก็มาถึง ด้วยการเอาชนะ มาเลเซีย 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ที่สนามศุภชลาศัย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ใช้ชื่อ กีฬาแหลมทอง
เข้าสู่ยุคซีเกมส์ แชมป์ตกไปอยู่กับ มาเลเซีย 2 สมัยซ้อนในปี 1977 และ 1979 ก่อนที่ ไทย จะกลับมาเถลิงแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 1981, 1983, 1985
ไทย ก้าวสูุ่ยุคเรืองอำนาจในวงการลูกหนังอาเซียน เมื่อผงาดคว้าแชมป์ 8 สมัยซ้อน ตั้งแต่ปี 1993-2007 ก่อนจะเสียบัลลังก์ให้ มาเลเซีย ในปี 2009, 2011
อย่างไรก็ตาม ไทย กลับมายืนหนึ่งอีกครั้งในปี 2013, 2015 และ 2017 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เหรียญทอง หลังจากถูก เวียดนาม ขึ้นมาท้าชิงและคว้าแชมป์ไปครองใน 2 สมัยล่าสุด
มาถึงครั้งนี้ มีการจำกัดอายุลดลงจาก 23 ปี ที่ใช้มาตั้งแต่ยุค 2000 เหลือไม่เกิน 22 ปี และไม่มีโควตาอายุเกิน ซึ่ง ทีมชาติไทยชุดนี้ มี อิสสระ ศรีทะโร คุมทัพมาลุยซีเกมส์เป็นครั้งแรก
ส่วน 20 ขุนพลชุดนี้ อาจจะไม่ฟูลทีมที่สุด แต่น่าจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากสโมสรให้ความร่วมมือปล่อยตัวมาร่วมช่วยชาติ แม้จะอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของศึกไทยลีก 1 และ ไทยลีก 2 รวมถึง ฟุตบอลถ้วย
นำโดย 4 นักเตะที่อยู่ในชุดรองแชมป์ครั้งที่แล้วคือ อิรฟาน ดอเลาะ ห้องเครื่องจาก บุรีรัมย์, ธีรศักดิ์ เผยพิมาย กองหน้าจาก การท่าเรือ, โจนาธาร เข็มดี กองหลังจาก ราชบุรี และ ชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช กองกลางจาก เอสโตริล ปาเอีย ในลีกโปรตุเกส
นอกจากนี้ ยังมีตัวตึงในรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐสิทธิ์ สุวรรณเศรษฐ์ จาก ลีโอ เชียงราย, ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท จาก เมืองทอง, ลีออน พิชญ เจมส์ จาก หนองบัว และสามดาวโรจน์จากค่าย “ฉลามชล” อย่าง ชาญณรงค์ พรหมศรีแก้ว, ทรงชัย ทองฉ่ำ และ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์
ที่น่าห่วงคือ ปราการด่านสุดท้าย ที่ “โค้ชหระ” หิ้วมาแค่ 2 ราย ได้แก่ ถิรวุฑ สรวลสรรค์ จาก เกษตรศาสตร์ เอฟซี และ โสภณวิชญ์ รักญาติ จาก แพร่ ยูไนเต็ด ซึ่งด้วยโปรแกรมถี่ ทำให้น่าเป็นห่วงหากเกิดแอคซิเดนเหตุไม่คาดฝัน
สำหรับโปรแกรมของ ทีมชาติไทย จะประเดิมสนามในวันที่ 30 เมษายนนี้ พบกับ สิงคโปร์ เวลา 16.00 น. ที่สนาม ปรินซ์ สเตเดียม
จากนั้นจะได้พัก 5 วันเต็ม ๆ ก่อนจะแข่งขัน 3 แมตช์สุดท้ายในรอบแรก พบกับ มาเลเซีย (6 พฤษภาคม), สปป.ลาว (8 พฤษภาคม) และ เวียดนาม (11 พฤษภาคม)
แต่ก่อนอื่น จำเป็นต้องคว้าสามแต้มมาตุนเอาไว้ให้ได้ก่อนในเกมแรก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
เพราะย้อนกลับไป 3 ครั้งหลังสุด ในเกมประเดิมสนามของ ทีมชาติไทย ในซีเกมส์ ปรากฎว่า ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย!!!
ย้อนไปในปี 2017 ที่มาเลเซีย ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ประเดิมทำได้แค่เสมอ อินโดนีเซีย 1-1 แต่ก็ยังสามารถก้าวไปคว้าเหรียญทองมาครองได้ ซึ่งนับเป็นแชมป์ครั้งสุดท้ายของ ทีมชาติไทย
ถัดมาในปี 2019 ที่ฟิลิปปินส์ ภายใต้การคุมทัพของ อากิระ นิชิโนะ ประเดิมพ่าย อินโดนีเซีย 0-2 ก่อนจอดป้ายแค่รอบแรก
และครั้งล่าสุดในปี 2022 ที่เวียดนาม ประเดิมพ่ายให้กับ มาเลเซีย 1-2 ภายใต้การคุมทัพของ มาโน โพลกิง ก่อนจะจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ในบั้นปลาย
ซึ่งถ้า ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชหระ” ประเดิมสนามชนะ สิงคโปร์ ได้ในอีก 2 วันข้างหน้า ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีเต็ม นับตั้งแต่เปิดสนามถล่ม สปป.ลาว 6-0 เมื่อปี 2015
เกมแรกจึงสำคัญเสมอ เพราะหากไม่ชนะ ภารกิจทวงบัลลังก์ของทัพ “ช้างศึก” ก็อาจเจอเส้นทางที่ยากลำบากมากขึ้น
นัดเปิดสนามของ ทีมชาติไทย ในวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายนนี้ เวลา 16.00 น. ยืนยันจะมีการถ่ายทอดสดผ่านช่อง T SPORTS 7 และ MCOT HD ช่อง 30 แฟนบอลชาวไทย ส่งใจเชียร์และร่วมลุ้นไปพร้อม ๆ กัน
ที่มา: soccersuck