ได้เวลามูฟออน ชัยชนะเรียกศรัทธา

เมื่อ 2 ปีก่อน รอย ฮอดจ์สัน เคยให้สัมภาษณ์หลัง คริสตัล พาเลซ แพ้ ลิเวอร์พูล 7-0 คาบ้านว่าทั้งเขาและลูกทีมอาจต้องใช้เวลา 1-2 วันเพื่อที่จะทนทุกข์กับความพ่ายแพ้ครั้งมโหฬารครั้งนี้

บรรยากาศในห้องแต่งตัวหลังจบเกมไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เนื่องจากไม่มีใครเคยผ่านประสบการณ์โดนยิงเยอะขนาดนี้มาก่อน

ความรู้สึก “อับอาย” และคิดไปเองว่าหรือทีมที่เป็นอยู่ยัง “ไม่ดีพอ” อะไรพวกนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวไม่หนีไปไหนจนกกว่าจะมีอะไรสะกิดความรู้สึกที่ว่าตรงนั้น

แน่นอนครับสิ่งที่ดีที่สุดในการบอกชาวบ้านชาวช่องว่าที่ผ่านมาคือ “วันอุบัติเหตุ” คือการคว้าชัยชนะในเกมถัดมาให้ได้ในทันทีซึ่ง แมนฯยูฯ ทำมันได้แล้ว

ขุนพล ยูไนเต็ด ปล่อยให้แฟนบอล “เคว้ง” และถูก “ล้อ” อยู่ 4 วันก่อนคัมแบ็คชนะ เรอัล เบติส 4-1 ในรายการยูโรป้า ลีก

ถือเป็นการเริ่มต้นนับ 1 ในเดือนมีนาคมและได้เวลา move on อย่างเป็นทางการ

ที่น่าสนใจและมีนัยนะแอบแฝงคือ เอริค เทน ฮาก ไม่เคยใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงซ้ำเลยแม้แต่หนเดียวนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วหรือนับนิ้ว 5 เดือนเต็มๆ

แต่วันนี้แกเจตนาเอานักเตะชุดที่แพ้ “หงส์แดง” ลงเล่นครบพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นการซื้อใจลูกทีมให้มีโอกาสแก้ตัวเพื่อพิสูจน์ความ “ไร้มืออาชีพ” ดังที่แกได้ตำหนิเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์

แม้ใน 45 นาทีแรก ยูไนเต็ด ยังมีอาการของคน “เมาค้าง” และถือว่าโชคดีมากๆที่ไม่โดนยิงแซง 2-1 ในช่วงท้ายครึ่งแรก (บอลชนเสา)

ดาบิด เด เกอา สีหน้าดูไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจเพราะเริ่มต้นจากแกที่จ่ายบอลหน้าประตูตัวเองแบบผิดเยอะมาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมเยือนซึ่งผมมองว่าเกมรุกดูแห้งๆและขาดวิชั่นหรือความอยากเอาชนะยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก

นอกจากทิ้งโอกาสพลิกเกมครั้งสำคัญสำหรับจังหวะนี้มันยังเป็นการปลุกให้ แมนฯยูฯ กลับมาในครึ่งหลังอีกด้วย

การเปลี่ยนแค่ วาน บิสซาก้า แทน ดาโลท์ ทำให้เกมรุกฝั่งขวาของเจ้าถิ่นเพิ่มแรงม้ามีความอันตรายขี้นมาอย่างชัดเจน

การจัดตัวที่เป็น “ธรรมชาติ” และเลิกอินดี้ ของ เอริค เทน ฮาก ทำให้เราได้เห็น “ปีศาจแดง” แบบเดิมๆกลับมาอีกครั้ง

บรูโน่ แสดงให้ ETH เห็นเต็มตาว่าพรี่หนวดงัดศักยภาพออกมาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยถ้ายืนในตำแหน่งตรงกลาง

ความไวของสายตาและออกบอลแม่นยำคือคุณสมบัติของแข้งทีมชาติ โปรตุกเกส ที่สามารถเลือกแทงได้ทั้งขวาซ้ายและกลาง

การไปจำกัด บรูโน่ อยู่ที่ฝั่งซ้ายเหมือนวันที่แพ้ในเกม “แดงเดือด” ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเล่นตำแหน่งตัวกลางมาตลอดนับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่

การโยก มาร์คัส แรชฟอร์ด มายืนฝั่งซ้ายและมี เวกฮอร์สต์ ปักหลักหน้าเป้าเป็นไลน์อัพที่ลงตัวที่สุดเท่าที่ ยูไนเต็ด จะทำได้

ผมเสียดายลูกในนาที 62 ที่ บรูโน่ แทงให้ แอนโทนี่ แต่ปีกแซมบ้ายังเล่นบอลชายเดี่ยวแบบเดิมๆจึงเลือกยิงเองมากกว่าจะไหลให้เพื่อนที่รออยู่ตรงเส้น 6 หลาถึง 3 คน

สำหรับผมทัศนะคติของ “แอน” ยังดูน่าห่วงเพราะแม้วันนี้จะปั่นโค้งๆอย่างสวยแต่โดยรวมการเล่นเป็นทีมยังห่างจากมาตรฐานที่แฟนบอลต้องการเห็นอยู่เยอะพอสมควร

วิธีการเล่นของแอนยังออกแนวสนองนี๊ดเวย์การเล่นของตัวเองจนบางครั้งดีเลย์บอลของทีมตัวเองไปซะงั้น การจะเป็นนักเตะในอีกระดับคุณสายตาและจมูกไวในจังหวะที่มันกำลังจะต่อยอดนำไปสู่การสร้างโอกาส

จะว่าไปแล้วลูกที่ แอนโทนี่ ยิงได้นั้นแนวรับ เบติส ประมาทตรงที่ปล่อยทิ้งดวล 1-1 เฉยเลย ไม่มีใครมายืนรองลูกหากินล็อกเข้าซ้ายซึ่งหลายๆทีมในพรีเมียร์ลีกมักใช้วิธีดักบอลมิติเดียวแบบนี้กันเกือบทุกทีม

ประตูแรกที่รอคอยในสีเสื้อ ยูไนเต็ด ของ เวกฮอร์สต์ นอกจากปลดล็อกให้ตัวเองแล้วยังช่วยให้ทีมตุนสกอร์ห่าง 3 ลูก จัดทีมเลก 2 โรเตชั่นเล่นง่ายกว่า 3-1 เยอะเลยครับ

แม้ในเฟสผมจะแซวๆแฟนผีแดงไปบ้าง 2-3 ดอกแต่ก็เห็นความเศร้าของผองเพื่อนที่ผมเองก็ยอมรับว่าสกอร์ที่ออกมามันโอเวอร์เกินจริงไปหน่อย การทำใจยอมรับมันยากมากๆ

วันนี้จึงยอมอดนอนนั่งดูเพื่อเอาใจช่วยให้ทีมอริคู่รักคู่แค้นคัมแบ็คเป็นพิเศษ

“ปีศาจแดง” ยังสามารถเข้าเบรกตบแดงกินดำสวยๆนับจากนี้ได้อีกยาวๆ (ถ้าไม่พลาดกันเอง) หลังผมไปนั่งเช็กโปรแกรมแล้วพวกเขาจะได้เล่นในบ้านถึง 4 จาก 6 นัดในทุกรายการ

ในช่วงจังหวะขึ้นลงของฤดูกาลเช่นนี้ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าพลังเชียร์ของ “เร้ออาร์มี่” อีกแล้วครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

หลังเอาชนะ เรอัล เบติส 4-1 ทำให้ แมนฯยูฯ เป็นทีมที่กวาดชัยชนะในฤดูกาลนี้ได้มากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป

– 31 แมนฯยูฯ

– 30 ไม่มี

– 29 ไม่มี

– 28 ไม่มี

– 27 บาร์เซโลน่า, นาโปลี, เรอัล มาดริด, เปแอสเช, แมนฯซิตี้

“ปีศาจแดง” ชนะ 2+ ประตูจากการลงเล่นในบ้าน 15 เกมติดต่อกันเป็นหนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม-ตุลาคม ปี 2000

ยูไนเต็ด ทำได้ 12 ประตูจากจังหวะสวนกลับในฤดูกาลนี้ มากกว่าทุกทีมใน 5 ลีกใหญ่ยุโร (ทุกรายการ) โดย 6 จาก 12 ประตูที่ว่านี้ยิงโดย ดร. แรช ซึ่งแน่นอนนำเป็นที่ 1 เหนือนักเตะคนไหนของยุโรปเช่นกัน

มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิง 26 ประตูทุกรายการในฤดูกาลนี้ไปเรียร้อยแล้ว ติดโผอันดับ 3 ดาวซัลโว 5 ลีกใหญ่ยุโรปเป็นรองแค่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (33) และ คิลิอัน เอ็มบาปเป้ (30)

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ แมนฯยูฯ ไม่เปลี่ยนแปลงผู้เล่นชุด 11 ตัวจริงเลย

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: