ได้เวลา “เรือใบ” ปิดสวิตช์ ชปล.

ไม่สายเกินไปที่จะมอบ 2 คำตัวโตๆ “เฟอร์เฟค” ให้กับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ แมนฯซิตี้ เหนือ เรอัล มาดริด 4-0 ก่อนกรุยทางสู่เส้นทางแชมป์ UCL ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เหนืออื่นใดสิ่งที่ “เรือใบ” ของ เป๊ป กวาดิโอล่า แสดงออกบนผืนหญ้าที่ เอติฮัด สเตเดียม เมื่อคืนวันอังคารไม่มีอะไรต่างจากที่เราเคยเห็น

แต่มีเรื่องนึงที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นท็อปปิ้งที่เพิ่มเข้ามา

ใช่ครับ ความแค้นและอยากลบฝันร้ายของชาว “ซิติเซนส์” ที่เคยร่ำไห้อดเข้าชิงถ้วยบิ๊กเอียร์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

เหตุการณ์จดจำไปชั่วลูกชั่วหลานเกิดขึ้นในเลกสองที่ เบอร์นาเบว นักเตะและแฟนบอล แมนฯซิตี้ กำลังรอฉลองชัยหลังเข้าสู่นาที 90 “ซิตี้” บุกไปนำ 1-0 รวมสกอร์ 2 นัดขาดลอย 5-3

แถม 3 นาทีก่อนหน้านั้นควรจะมีอีกประตูของทีมเยือนแต่บอลถูกเคลียร์บนเส้น

หลังจากนั้น “ราชันชุดขาว” ยิง 3 ลูกรวดทั้งๆที่เวลา นาที 90, 90+1 และได้จุดโทษนาที 90+3 (มายิงอีกที 90+4.04)

ใครจะไปคิดว่าทีมที่แพ้ไม่ค่อยเป็นโดนยิง 3 ลูกภายใน 4 นาที!!

ดังนั้นสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือนักเตะ “เรือใบ” หิวกระหายอยากเหยียบย่ำ เรอัล มาดริด ให้จมดินชนิดที่ว่าไม่ต้องได้ผุดได้เกิด

วิ่งไล่เอาเป็นเอาตายจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเจ็บ!!

“ราชัน” พยายามใช้แท็คติกส์ที่ตัวเองถนัดที่สุดคือปล่อยให้ ซิตี้ ครองบอลและรอสวนเหมือนทุกครั้ง

แต่งวดนี้บอกได้คำเดียวว่า “โงหัวไม่ขึ้น” เป็นภาพที่เห็นไม่บ่อยกับการหมดสภาพของ มาดริด ภายใต้ คาร์โล่ อันเชล็อตติ

เบนเซม่า, วินิซิอุส, บัลเบรเด้ และ โรดรีโก้ องคาพยพที่ตามเก็บงานหลังแผงหลังทำหน้าที่ของตัวเองโดนรุมแย่งเสียบอลแทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมใดๆ

ผ่านไป 30 นาที ซิตี้ ครองบอล 81% ล่อเป้าไปแล้วเกือบ 10 หนในขณะที่ มาดริด สวนไม่ขึ้นโดนกดยับเยิน โอกาสยิงเป็น 0 (ก่อน โครส ช่วยให้ ราชัน ยิงหนแรกในนาที 35 และบอลชนคาน)

ในขณะที่เกมรับที่เคยเป็นกำแพงเหล็กจน ซิตี้ หาช่องไม่ได้เหมือนในเลกแรกกลับดูอ่อนแอ พื้นที่ว่างเรียงรายให้เจ้าถิ่นหาเจออยู่ตลอดเวลา

รูดิเกอร์ ที่เกมแรกเป็นตัวแทงค์เล่นดีสุดๆมีชื่อเป็นแค่ตัวสำรองเพื่อหลีกทางให้ตัวอย่าง มิลิเตา ซึ่งความดุและลูกยุกยิกยวบไปเยอะแถมเจ้าตัวทำ OG. ท้ายเกมให้ชอกช้ำอีกต่างหาก

ที่ต้องสดุดีคือฟอร์มของ “บิ๊ก แบร์นาโด้” ที่ เป๊ป นิยามว่านี่คือค่ำคืนที่พิเศษสุดๆสำหรับเขาและเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

แข้ง โปรตุกีส เหนือชั้นทั้งตอนเก็บบอลครองบอลเอาตัวรอด แทบไม่เคยเสียบอลและความเด็ดขาดกับลูกยิง 1-0 ปั่นบรรยากาศในสนามให้มาคุขึ้นไปอีก

สกอร์ 4 ลูก (และน่าจะมากกว่านั้น) โดยเฉพาะ 2 ลูกในช่วงท้ายเกมไม่ใช่ความบังเอิญแต่บทเรียนเมื่อปีที่แล้วการปิดประตู “คัมแบ็ค” ไม่ให้เหลือแม้แต่ 0.01 % คือสิ่งที่ เป๊ป และลูกทีมต้องการให้เป็นเช่นนั้น

สำหรับ เรอัล มาดริด ไม่เหลือลายแชมป์ 14 สมัยที่ “บัฟ” การ์ดยุโรปไม่ทำงาน เครดิตทั้งหมดทั้งมวลให้ “เรือใบ” ไปเต็มๆ

แผน 3-2-4-1 ยามเป็นฝ่ายบุกและ 4-2-3-1 เมื่อเป็นฝ่ายรับ สูตรที่ เป๊ป คิดค้นในห้องทดลองตอนทิ้งขนมปังที่กินเอาไว้กำลังจะเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายๆทีมหลัง JK เอาไปใช้กับ เทรนต์ จนคว้าชัย 7 นัดรวดเข้าให้แล้ว

นี่คือการเข้าชิง UCL หนที่ 2 ของ ซิตี้ ในรอบ 3 ปีและเหลือด่านสุดท้ายอีก 90 นาทีกับ อินเตอร์ มิลาน พวกเขาจะปิดสวิตช์คำสาปที่รอคอยลงทันที

สังเกตได้ว่า เป๊ป ไม่คิดเยอะไม่พยายามปรับอะไรที่เป็นตัวตนของ ซิตี้ เหมือนอย่างที่เคย “อินดี้” จนแพ้ เชลซี ในรอบชิงเมื่อปี 2021 ทั้งๆที่ฟอร์มก่อนหน้านั้นร้อนทะลุ 40 องศาด้วยซ้ำ

ปัจจุบันความเป็นหนึ่งในใต้หล้าของ แมนฯซิตี้ ยังวนเวียนอยู่แค่ใน พรีเมียร์ลีก เป็นลีกชาวนาขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีอะไรว้าวแล้ว

ต่อให้ได้อีก 3-4 ฤดูกาลติดต่อกันมันเทียบไม่ได้กับความค้างคาใจต่อถ้วยยุโรปที่ท่านชีคและเป๊ปถวิลหามันมากเหลือเกิน

อย่างไรก็ตามโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเพราะเหล่าขุนพล “เนรัซซูรี” อินเตอร์ มิลาน เข้ามาถึงรอบชิงก็ใช้เท้าเล่นมาเหมือนกัน

ครับการรออะไรที่มันเป็น “รักแรก” มักยากเสมอและพูดกันแฟร์ๆนักเตะ ซิตี้ และ เป๊ป เคยอกหักฟูมฟายครั้งใหญ่มาแล้ว การรับมือกับรักครั้งนี้ผมเชื่อว่าถึงเวลามันก็จะมาเอง

ผมเชื่อว่าผู้หลักผู้ใหญ่พยายามสร้าง History ให้ ซิตี้ ได้รับการยอมรับในวงกว้างเหมือนอย่างที่ แมนฯยูฯ, ลิเวอร์พูล และ เชลซี เคยแตะหลักไมล์นั้นมาแล้ว

ชัยชนะทุกเกมที่มีความ “ยูนีค” ล้วนเป็นหนึ่งใน hall of frame ประดับเกียรติสโมสรแต่สำคัญไปกว่านั้นทุกๆแชมป์ที่ยังไม่เคยได้มันต้องได้ถึงสมบูรณ์ไร้ข้อกังขา

ลุ้นระทึกปิดสวิตช์ ชปล. ให้ แมนฯซิตี้ ที่ อิสตัลบูล วันเสาร์ที่ 10 เดือนหน้ากันครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

รอบชิง UCL 2023 จะเป็นครั้งแรกที่ แมนฯซิตี้ พบ อินเตอร์ มิลาน เป็นหนแรกที่คู่ชิง debut ในรอบชิงหลัง ลิเวอร์พูล พบ เอซี มิลาน เมื่อปี 2005 ที่สนามเดียวกันหนนี้

เป๊ป กวาดิโอล่า กลายเป็นกุนซือคนที่ 3 ที่คว้าชัยใน UCL ครบ 100 นัดต่อจาก คาร์โล่ อันเชล็อตติ (107) และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (102)

แมนฯซิตี้ เข้าชิง UCL เป็นครั้งที่ 2 ไปพร้อมๆกับการพ่ายแพ้ย่อยยับที่สุดของ เรอัล มาดริด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โดน ลิเวอร์พูล ถล่ม 4-0 เมื่อปี 2009

แจ็ค กรีลิช สร้างโอกาสใน UCL ฤดูกาลนี้ไปแล้ว 35 ครั้ง เป็นสถิติที่มากที่สุดในบรรดานักเตะอังกฤษด้วยกันภายในซีซั่นเดียว (นับตั้งแต่ปี 2003-04 ที่เริ่มมีการเก็บสถิติ)

แบร์นาโด้ ซิลวา เป็นนักเตะคนที่ 3 ที่ยิง 2+ ในรอบรอง UCL ในการพบกับ เรอัล ดมาริด ต่อจาก ลีโอเนล เมสซี่ (2011) และ เลวานดอฟสกี้ (2013)

“เรือใบ” ยิงถล่มทลายใน UCL ฤดูกาลนี้มากถึง 31 ประตู เป็นสถิติใหม่ของพวกเขาในรายการนี้ไปแล้ว

เป๊ป เข้าชิง UCL เป็นหนที่ 4 โดยมี อันเชล็อตติ คนเดียวที่ทำได้มากกว่าเขา (5)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: