2 นัด 1 แต้ม “สิงห์” ยังเมาอยู่

สิ่งที่ เชลซี ได้เรียนรู้จากการเหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 2 นัดแต่ยังไร้ชัยคือทีมอายุน้อยเหล่านี้ขาดความเด็ดขาดในแนวรุกและเสียประตูแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยง่ายเกินไป

วันที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล ว่าเจ็บใจแล้วแต่กับ เวสต์แฮม บอลไม่มีอะไรที่จะดีเลิศถึงขนาดพลิกชนะด้วยสกอร์ขาด 3-1

วันที่ ราฮีม สเตอร์​ลิ่ง เล่นดีที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่สวมเสื้อ “เดอะ บลูส์” แต่ทีมกลับไม่สามารถฉกฉวยโอกาสได้มากกว่าประตูเดียวจากความสามารถเฉพาะตัวของ คาร์นี่ย์ ชุควูเมก้า

พูดก็พูดแนวรับ “ขุนค้อน” ดูช้าลงกว่าซีซั่นที่แล้ว พวกเขามีปัญหากับนักเตะความเร็วสูงของทีมเยือนแทบทุกคน ถึงขนาด ราฮีม แหวกหนีดื้อๆ 4 ตัวในครึ่งแรก

ครึ่งแรกครองบอลข้างเดียว 79% ผ่านบอล 376 กับ 97 เรียกว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือหมดแล้ว

เวสต์แฮม นอกจากฉกฉวยได้ประตูขึ้นนำจากเตะมุมนาทีที่ 7 ก็ไม่สนโลกอะไรแล้วเล่นอุดแบบรอโดนชัดๆและไม่มีโอกาสได้สวนกลับเลยด้วยซ้ำ

เชลซี โยน 3 แต้มทิ้งในช่วงท้ายครึ่งแรกที่ว่ากันว่าอยู่ในช่วงนาทีทองที่เจ้าถิ่นทำท่ายอม”มอบตัว” แต่ เอ็นโซ่ แข้งการ์ดทองดันยิงจุดโทษติดเซฟซะอย่างนั้น

เชื่อว่าประตูนี้มาแฟน “สิงห์บลู” ได้ชัยเกมแรกของฤดูกาลแน่ๆครับ เวสต์แฮม เขาไม่ใช่สายบุกแต่เป็นสายรับรอสวน ถ้าหน้ามืดยกพลดันเมื่อไหร่แนวรุกไวๆของ เชลซี สอดไลน์วิ่งหลุดกระจาย

ผมอุตสาห์ตื่นตาตื่นใจกับสปีดบอลของ ราฮีม กับ แจ็คสัน ที่ทำชิ่งทะลวงแนวรับ เวสต์แฮม ในครึ่งแรกแต่มันได้แค่หวือหวาแต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้

จนกระทั่งระเบิดเวลาทำงานเมื่อความเป็นทีมพลังหนุ่มความไม่ละเอียดในการจ่ายบอลตรงกลางสนามของ อเซล ดิซาซี่ กลายเป็นประตูขึ้นนำ 2-1 ของ “ขุนค้อน” แบบหน้าตาเฉย

แม้กระทั่งการได้เปรียบตัวผู้เล่นตั้งแต่นาที 67 นอกจากไม่ได้ประตูเพิ่มแล้วยังโดนลูก 3-1 จากการโฉ่งฉ่างทำเสียจุดโทษของ มอยส์ ไคเซโด้ แข้งใหม่ 115 ล้านปอนด์

เห็นสภาพแล้วรู้เลยว่า ไคเซโด้ ต้องซ้อมและเคาะสนิมอีกเยอะเลย วันนี้ลงเป็นตัวสำรองแต่ทำบอลลั่นเห็นๆนี่ 2 ครั้ง+เสียจุดโทษ หน้าตาดูตื่นๆดูกดดันยังไงชอบกลไม่รู้

เป็นการเปิดตัวแบบฝันร้ายโคตรๆแต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าระยะยาวคืนร่างทองแน่ครับ ดูอย่าง ฮาลันด์ เปิดตัวคอมมูนิตี้ ชิลด์ ยิงหลาเดียวไม่เข้าโดนล้อยับ ตอนนี้เป็นไงล่ะ

จุดสำคัญคือ ชุควูเมก้า เจ็บต้องเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลังซึ่ง มูดรีค เป็นมวยแทนที่มีแต่ความไวบอลสุดท้ายไม่เกิดประโยชน์ ความดุดันน่ากลัวในแนวรุกของ “สิงห์” คนละเรื่องกับครึ่งแรกไปเลย

ทีนี้ต้องกลับมาคุยกันเรื่องว่าตกลง เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน่ จะแก้อะไรตรงไหนก่อนดีซึ่งกระแสในโลกโซเชี่ยลมองว่าหลัง 3 มีปัญหาอยู่พอสมควร

จากปรีซีซั่นหลัง 4 อยู่ดีๆแต่เปิดฤดูกาลกับ ลิเวอร์พูล ใช้หลัง 3 โอเคอาจจะเน้นเซฟเกมแรกแต่บังเอิญเล่นดีเพราะมี รีส เจมส์ ซึ่งตอนนี้เจ็บไปเรียบร้อยแล้วระบบนี้จบเห่ไปโดยปริยาย

การยืนหลัง 3 ทั้ง ซิลวา, โคลวิลล์ และ ดิซาซี่ เหมือนยังเล่นกั๊กๆไม่มีตัวเด็ดขาดเข้าชน มันจึงให้ความรู้สึกเหมือนเสียไป 1 ตัวฟรีๆเพราะเล่นไปเล่นมาหลังล่กและหลุดง่ายเหมือนเดิม

ที่หลายคน “งง” และผมเองก็อยากรู้คือตอน “ขุนค้อน” เหลือ 10 ตัวทำไมยังหลัง 3 คู่แข่งแทบไม่เอาอะไรกับเกมรุกแล้วแถมอุดกันเต็มเหยียดมันต้องเพิ่มตัวรุกตามสูตรไหมครับ

ที่น่าติดตามต่อคือนี่จะเป็นการพิสูจน์ความเด็ดขาดในฐานะผู้จัดการทีมของ “พอช” เพราะหากยังยึดติดกับการใช้ ซิลวา ที่เดือนหน้าจะ 39 ปีเต็มก็ต้องมี “องคาพยพ” น้องๆคอยประกบวิ่งช่วย

แต่ถ้าดร็อปและเลือกใช้พลังคนหนุ่มยืนหลัง 4 และไปอัดกลางเพิ่มอีกคนโดยที่ตอนนี้มี ไคเซโด คอยปัดกวาดก็เหมือนกึ่งๆเซนเตอร์ตัวกลางดูแลหลังบ้านเป็นอีกทางเลือกที่ดี

ด้วยปัญหาที่รุงรังและต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆแต่จะเรียกว่าเธอได้มาทันเวลาพอดีก็ไม่ผิดนักเมื่อโปรแกรมนัดหน้า เชลซี ได้ ลูตัน ทาว์น ทีมน้องใหม่ระบายแค้นที่ “เดอะ บริดจ์”

ต่อให้ระบบไหนหรือใครยังปรับตัวอยู่ก็ตามทีเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านปอนด์ 3 แต้มแรกมันต้องมานัดนี้ได้แล้วเน้อ…

สถิติ สถิติ สถิติ

มอยส์ ไคเซโด้ เป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ทำเสียจุดโทษในเกม debut ให้ เชลซี ต่อจาก เวย์น บริดจ์ ที่เปิดตัวพบ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2003

เจมส์ วอร์ด เพราส์ เป็นนักเตะ เวสต์แฮม คนแรกที่ทำ 2 แอสซิสต์+ ในเกมเดบิ๊วท์

นอกจากนี้อดีตแข้ง เซาท์แฮมป์ตัน ทำสถิติ “เจ้าพ่อลูกนิ่ง” แอสซิสต์ลูกที่ 24 ในพรีเมียร์ลีก นับเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ลงเล่นเกมแรกในปี 2012-13 ส่วนแชมป์ได้แก่ คริสเตียน เอริคเซ่น (25)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: