7-0 เขย่าโลก จุดเปลี่ยนของซีซั่น
ถ้าโกหกขอให้ธรณีสูบ ย้อนความเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ผมเคยเปิดยูทูปดูคลิปไมค์ ไทสัน ก่อนออกไปต่อยกับรุ่นน้องที่หน้าสนามบอลหลังถูกปีนเกลียวมาหลายเดือน
บทสรุปการวิวาทครั้งนั้นไม่ขอเอ่ยถึงแต่การปีนเกลียวไม่เกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่นั้น (เพราะเคลียร์กันได้)
เป็นการบิ๊วอารมณ์และศึกษาเชิงมวยที่ ณ ตรงนี้บอกได้แค่ว่าความรุนแรงไม่เคยช่วยแก้ปัญหาได้อย่างถาวร
เฉกเช่นเดียวกันฟุตบอล ศึก “แดงเดือด” ของ 2 อริที่บรรยากาศตึงเครียดมาร่วมสัปดาห์
ช่วงเย็นๆวันอาทิตย์ผมจึงเลือกดูไฮท์ไลท์ ลิเวอร์พูล ถล่ม บอร์นมัธ 9-0 และ ชนะ แมนฯซิตี้ 1-0 เมื่อต้นฤดูกาลเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้ตัวเอง
หลังดูจบ ในใจพลางคิดว่าไม่ต้องเวอร์วังถึงขนาดยิง 9 ลูกขอแค่ไม่แพ้หรือเสมอก็เอาแล้ว
แต่มันบ้าไปแล้วที่เราได้เห็น ลิเวอร์พูล ยิง แมนฯยูฯ ถึง 7-0 ต้องตายและเกิดใหม่อีกกี่ครั้งครับ
ไม่ใช่ว่า “ปีศาจแดง” อ่อนหรือบอลคนละชั้นแต่จังหวะแต่ละประตูผมมองว่ามัน “เป๊ะเวอร์” จนน่าตกใจ
มันทำให้ผมนึกถึงเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 7-2 วันนั้น ดีน สมิธ บิ๊กบอส “สิงห์ผงาด” ยังดีใจด้วยสีหน้างงๆที่ลูกทีมยิงยังไงก็เข้า แฉลบครั้งใดบอลจ้องจะตรงกรอบทุกครั้งไป
วันที่ ลิเวอร์พูล บุกไปถล่มที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด 5-0 เคยคิดนะว่าสกอร์ขาดลอยแบบนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ยิ่งคุณเคยแพ้มาคู่ต่อทีมเดิมแบบเละเทะความระวังตัวมันจะมากขึ้นกว่าปกติ
ในวันอัปยศที่ว่านั้น ยูไนเต็ด ไม่มีแท็คติกส์ไม่มีวินัย ไม่มีการแบ่งหน้าที่ในการยืนตำแหน่ง ทุกอย่างมั่วซั่วกันไปหมด
แต่เมื่อวันอาทิตย์ “ปีศาจแดง” ที่ขุมกำลังและระบบทุกอย่างเริ่มลงตัวและเป็นทีมที่ฟอร์มขึ้นหิ้งที่สุดนับตั้งแต่จบบอลโลกกลับมีฟอร์มที่คล้ายคลึงเมื่อ 2 ปีก่อนโดยเฉพาะครึ่งหลัง
ครึ่งแรก “หงส์แดง” ใช้เสียงเชียร์ในบ้านพยายามนวดผู้มาเยือนอย่างเอาเป็นเอาตายก็จริง
ขอย้ำว่าแค่นวดแต่ทีมที่มีโอกาสจังๆกลับเป็น ยูไนเต็ด จากลูกยิงหนแรกในนาทีที่ 9 ของ แอนโธนีย์ (อลิสซอน เซฟ) และลูกที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมคือการโขกหลุดเสา 1 เซน.ของ บรูโน่ ในนาที 26
ยังไม่นับรวมบรรดาลูก “ออฟไซด์” 2-3 หนที่ “ปีศาจแดง” เจอช่องโหว่มากขึ้นเรื่อยๆ
ความน่าสนใจอยู่ที่ลูก 1-0 ที่การยืนตำแหน่งให้ความรู้สึกเหมือนเราดู แมนฯยูฯ ในยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในวันที่แพ้คาบ้าน 5-0 ยังไงยังงั้น
ช่วงพักครึ่ง พอล สโคล์ส และ ไมเคิ่ล โอเว่น ร่วมกันวิเคราะห์พร้อมกับเอามือลากกราฟฟิคอย่างเมามัน
หายนะเริ่มจาก ดาโลท์ ไม่รู้อะไรดลใจถึงปล่อยทิ้งตำแหน่งแบ็คขวาในความรับผิชอบของตัวเองแต่ไปยืนใกล้ วาราน ในตำแหน่งเซนเตอร์เพื่อประกบ “หนูน”
โดย ณ ตอนนั้นภาพหยุดอยู่ที่ โกนาเต้ ได้บอลและกำลังจะส่งคืนให้ อลิสซอน
ทันทีที่ “พ่อหมี” วางยาวข้ามมาให้ โรเบิร์ตสัน ดาโลท์ ถึงเลือกวิ่งผละเพื่อมาประจำการแบ็คขวา
อย่างไรก็ตามการผิดที่ตั้งแต่ต้นทำให้การเผชิญหน้ากับ “สายควัน” จึงห่างกันถึง 5-6 หลา
ท้ายที่สุด ดาโลท์ จึงเลือก “ยืนจังก้า” มากกว่าจะเข้าไปพัวพันชิงบอล ตรงนี้ครับที่ทำให้ โรเบิร์ตสัน มีเวลากับบอลเลี้ยงตัดเข้าในดึง ดาโลท์ ออกมาจากพื้นที่ตัวเอง
เฟร็ด เข้ามา cover แบ็คขวาแต่ด้วยเวลาที่เหลือเฟือและพื้นที่ซึ่งเปิดโล่งเราจึงได้เห็นลูกเปิด cut back ไม่ใช่ basic pass ของ โรเบิร์ตสันที่น้ำหนักทิศทาง “เป๊ะ”
ความผิดพลาดซ้ำสองคือลูกยิงของ กัคโป ถามว่าคมไหม คมนะเข้าเกือบโคนเสา
แต่ถามว่าระดับ เด เกอา ผมว่าลูกนี้พุ่งปัดได้แน่นอนหาก มาร์ติเนซ ไม่วิ่งตัดหน้าบังทางรบกวนจน “ลามะ” มองไม่เห็น
ซึ่ง โอเว่น ตำหนิ “คันนาน้อย” ว่าไม่ควรวิ่งตัดหน้าแต่ควรยืนบังไลน์อยู่กับที่มากกว่า
หากใครดูภาพช้าลองสังเกตดูได้ครับว่า เด เกอา หันไปต่อว่า มาร์ติเนซ แบบเซ็งๆ
ครับ ผมสาธยายจังหวะนี้ยาวหน่อยเพราะมันคือจุดพลิกผันเล็กๆของ “หงส์แดง” ที่ก่อนได้ประตูนี้กลางเริ่มเก็บบอลไม่ได้และถูก “ปีศาจแดง” ค่อยๆเป็นฝ่ายเข้าทำมากขึ้น
ก่อนจบพักครึ่ง 2-3 นาทีแทนที่จะเป็น 0-0 แต่สกอร์ตามหลังทำให้สภาพจิตใจของผู้เล่นทั้ง 2 ทีมแตกต่างกันในครึ่งหลังอย่างเห็นได้ชัด
ความซวยต่อมาคือแท็คติกส์และการปลุกเร้าอารมณ์ของ เอริค เทน ฮาก ในช่วงพักครึ่งยังไม่ทันเห็นหน้าเห็นหลังทีมต้องตกเป็นรองอย่างไวถึง 3-0 ภายใน 5 นาที พัง!!
ในช่วงความมั่นใจมาเต็มการแย่งบอลจังหวะ 2 ล้วนแล้วเป็นใจให้ “หงส์แดง” จนเกิดประตูที่ 2 หลังเล่นครึ่งหลังมาได้แค่ 1 นาทีกับอีก 30 วินาที
ประตูนี้เองครับที่ทำให้ทีมเยือนร้อนรนจะเอาประตูตีไข่แตกและถูกสวนกลับรัวๆ
ความโชคร้ายของ “ปีศาจแดง” คือเกมเคาเตอร์ของ ลิเวอร์พูล วันนี้มันเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ พูดได้ว่าน้องๆยุคทองของ 3 ประสานรุ่นที่ 1 มาเน่, ฟีโน่ และ ซาลาห์
หลายๆคนแสดงอาการ “หิวบอล” และอยาก “ปล่อยของ” ขนิดที่เราแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
สังเกตได้ว่าการลั่นไกของแต่ละคนออกแนวไม่ต้องคิดเยอะ ยิงด้วยความมั่นใจ ต่างจากช่วงฟอร์มดาว์นๆที่กว่าจะง้างต้องคิดต้องมองแล้วมองอีก (ยิงนกร่วง)
ดู 2 ลูกของ กัคโป สิครับไม่เหลือมองประตูเลย ใช้เส้น 18 หลาเส้น 6 หลาวาดภาพในหัว ยิงด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ
นอกจากฝีมือแล้วโชคและดวงดันมาเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเกมนี้ด้วย ลูกกระเด้งกระดอนพุ่งมาใส่ตีน โม ซาลาห์ ยิงยังไงก็เข้า เท้าขวาก็ยังเข้าข้อ
แม้จะเป็นความพ่ายที่ย่อยยับที่สุดในรอบ 92 ปีของ “ปีศาจแดง “แต่สำหรับผมแล้ว แมนฯยูฯ ไม่มีทางจะแปรสภาพเป็นทีมกระจอกงอกง่อยภายในช่วงข้ามคืน
Fact คือหลังจบบอลโลก ยูไนเต็ด คือทีมที่กวาดแต้มมากที่สุดคือ 23 และแพ้แค่นัดเดียวจากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 11 เกม (ก่อนแดงเดือด)
และต้องไม่ลืมว่าเพิ่งได้แชมป์แรกเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นผลงานที่เกินเป้าหมายไปแล้วด้วยซ้ำ
ไทม์มิ่งการเสียประตูและจังหวะที่โดนมันไม่มีทาง “เป๊ะ” ยิงเป็นเข้าได้แบบนี้ซ้ำสอง การรีกรุ๊ปและรีบ move on เหมือนที่ ลิเวอร์พูล เคยถูก แอสตัน วิลล่า ยิง 7-2 เป็นสิ่งแรกที่ควรรีบทำ
ข้ามผ่านมันได้แล้ว ETH และลูกทีมต้องแสดงความเป็นมืออาชีพเรียกศรัทธาคืนกลับมาให้แฟนบอลทั้งในเกมที่พบกับ เรอัล เบติส ใน ยูโรป้า ลีก รวมถึง เซาธ์แฮมป์ตัน
ครับสำหรับผู้ชนะ การรวมตัวคืนฟอร์มโดยมิได้นัดหมายทั้ง ฟาบินโญ่, เฮนโด้ หรือการเล่นเข้าขาเข้าจังหวะของ ซาลาห์ และ กัคโป ช่วยกันผลิตฟอร์มที่ดีที่สุดของ “หงส์แดง” ในฤดูกาลนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าไม่นับลูกเหวอของ อลิสซอน เราไม่เห็นอะไรที่ดูเปิ่นๆและแอบเครียดของ ลิเวอร์พูล ที่บัดนี้เก็บคลีนชีตในลีกมา 5 นัดติดเข้าให้แล้ว
ในขณะเดียวกันการมีชื่อยิงคนละ 2 ประตูของทั้ง หนูน, บังและลุงพลเป็นการส่งสัญญาณการผลัดใบของ 3 ประสานยุคใหม่แทนที่ของเก่าหลัง ฟีร์เมียโน่ เตรียมแยกย้ายหลังจบซีซั่นนี้
การยิงสกอร์ที่เวอร์วังอลังการเช่นนี้นอกจากสร้างความมั่นใจให้นักเตะทุกคนได้แล้วมันยังเป็นการปลุกตัวเองให้ตื่นจากภาวะเซื่องๆกลับมามีความเชื่อในการไล่ล่า top4 ได้อีกด้วย
แมนฯยูฯ เคยใช้ ลิเวอร์พูล เป็นจุดเปลี่ยนในเกมที่ 3 หลังเอาชนะ 2-1 กลายสภาพเป็นอีกทีมที่ทะยานขึ้นมาเกาะกลุ่มหัวตาราง
ตอนนี้ถึงคิวของ “หงส์แดง” ที่ควรเริ่มต้นใช้ชัยชนะในตำนาน 7-0 ให้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลบ้างแล้วล่ะครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
กัคโป, นูเญซ และ ซาลาห์ เป็น 3 ประสานคู่ที่ 4 ในพรีเมียร์ลีกที่ยิง 2+ ประตูในเกมเดียวกันและนับเป็นทริโอแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ปี 1999 (โคล, ยอร์ค, โซลชา) ในเกมที่ แมนฯยูฯ พบ ฟอเรสต์
ลิเวอร์พูล สร้างสถิติชนะ แมนฯยูฯ มากที่สุด (7-0) แซงหน้าเกมรุ่นปู่ที่เคยชนะ 7-1 เมื่อปี 1895 (ดิวิชั่น 2)
โม ซาลาห์ กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลให้ ลิเวอร์พูล ในรายการ พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวนประตู 129 ลูกจากการลงเล่น 205 เกม
นอกจากนี้ “บัง” ยังเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ยิงประตูใส่ “ปีศาจแดง” 6 นัดติดต่อกันในทุกรายการ
ซาลาห์ มีส่วนร่วมโดยตรงกับ 30 ประตูให้ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ (20 ประตู 10 แอสซิสต์) และจนถึงตอนนี้เป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกคนเดียวที่ทำตัวเลข 2 หลักทั้งยิงและจ่ายได้ในฤดูกาล 2022-23
แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำแอสซิสต์มากกว่ากองหลังคนไหนในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ (9) และถ้านับผู้เล่นทุกตำแหน่งแข้งทีมชาติ สก็อตแลนด์ เป็นรองเพียงแค่ เควิน เดอ บรอยน์ (17) (ทุกรายการ)
กัคโป และ หนูน เป็นดูโอแรกของ “หงส์แดง” ที่ยิงคนละ 2 ในศึกแดงเดือด “เกมเดียวกัน” นับตั้งแต่ อาร์ธรู กอดดาร์ด และ เจมส์ สจ๊วต เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้วปี 1910
กัคโป เป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนที่ 5 ที่ยิงประตูในบ้านทั้งเกมกับ เอฟเวอร์ตัน และ แมนฯยูฯ ในพรีเมียร์ซีซั่นเดียวกันซึ่งคนแรกที่ทำได้คือ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ (2013-14)
15 ประตูหลังสุดในศึกแดงเดือดที่ยิงใน แอนฟิลด์ (พรีเมียร์ลีก) มาจากฝั่งเจ้าถิ่นทั้งหมด
– ชากิรี่
– ชากิรี่
– ฟาน ไดคจ์
– ซาลาห์
– ดิอาซ
– มาเน่
– ซาลาห์
– กัคโป
– นูเญซ
– กัคโป
– ซาลาห์
– นูเญซ
– ซาลาห์
– ฟีร์เมียโน่
นับตั้งแต่แพ้คาบ้าน 1-0 เมื่อเดือนมกราคม 2016 ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ แมนฯยูฯ ในการเจอที่ แอนฟิลด์ 7 นัดหลังสุด (ชนะ 4 เสมอ 3) นับเป็นสถิติที่ยืนยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ของเดิมที่เคยทำไว้ 9 นัดเมื่อปี 1970
หลังแพ้ ลิเวอร์พูล 7-0 แมนฯยูฯ ถูกเพิ่มสถิติแพ้เละที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรในสกอร์ “7-0” ร่วมกับของเดิมอย่างการแพ้ วูลฟ์ (1931),แพ้ วิลล่า (1930) และแพ้ แบล็คเบิร์น (1926)
การเสียท่าที่ แอนฟิลด์ 7-0 เป็นความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดในอาชีพการทำงานของ เอริค เทน ฮาก โดยนับจนถึงวันอาทิตย์อดีตบอส อาแย็กซ์ คุมทุกทีมทุกรายการรวมมากถคง 481 เกมเลยทีเดียว
“ปีศาจแดง” แพ้ ลิเวอร์พูล ในรายการพรีเมียร์ลีกมากกว่าเจอทีมไหนๆ (19 เกม) และ 5 เกมหลังสุดที่เจอกันถูก “หงส์แดง” ยิงไส้แตกถึง 21 ลูกเข้าให้แล้ว
ที่มา: soccersuck