Madrid Derby : สตอรี่ศึกผ่ากรุงมาดริด กับ 5 เหตุผลที่ไม่ควรพลาดชม
#SSxLaLiga | การพบกันระหว่างแอตเลติโก้ มาดริด และเรอัล มาดริด คือหนึ่งในนัดสำคัญของการแข่งขันลาลีกาในแต่ละฤดูกาล นอกจากชัยชนะที่ทั้งคู่ต้องการแล้ว ยังแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งของเมืองหลวงด้วย
ฟุตบอลลาลีกา สเปน สุดสัปดาห์นี้ ไฮไลท์อยู่ที่คู่ซูเปอร์ดาร์บี้แมตช์ ระหว่างเรอัล มาดริด จะเปิดซานติอาโก้ เบอร์นาเบว พบกับแอตเลติโก้ มาดริด ในคืนวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ เวลา 00.30 น.
เรอัล มาดริด ก่อตั้งขึ้นในปี 1902 ส่วนแอตฯ มาดริด ถือกำเนิดในอีก 1 ปีถัดมา ซึ่งการพบกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทั้งคู่ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1906 จบลงด้วยการเสมอกันไป 1 – 1
ฤดูกาล 1928/29 ฤดูกาลแรกของลาลีกา 2 ยักษ์ใหญ่แห่งมาดริดต่างก็เป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง การพบกันในซีซั่นแรกบนเวทีลีกสูงสุด เรอัล มาดริด เอาชนะได้ทั้ง 2 นัด (เหย้า 2 – 1, เยือน 3 – 0)
สถิติชนะขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมาดริด ดาร์บี้ ทางฝั่งเรอัล มาดริด เป็นเกมที่ชนะ 5 – 0 ในฤดูกาล 1958/59 และ 1983/84 ส่วนแอตฯ มาดริด เกิดขึ้นในซีซั่น 1947/48 สกอร์ 5 – 0 เช่นกัน
เมื่อดูสถิติการพบกันในลาลีกา เรอัล มาดริด ชนะ 91 ครั้ง แอตฯ มาดริดชนะ 40 ครั้ง และเสมอกัน 40 ครั้ง ส่วนจำนวนแชมป์ลีกสูงสุด “ราชันชุดขาว” ได้ไป 35 สมัย ขณะที่ “ตราหมี” ทำได้ 11 สมัย
การพบกันในฟุตบอลถ้วยรวมทุกรายการ เรอัล มาดริด ชนะ 23 แอตฯ มาดริด ชนะ 15 และเสมอ 18 ในจำนวนนี้เป็นนัดชิงชนะเลิศทั้งหมด 5 ครั้ง “ราชันชุดขาว” ได้ 2 โทรฟี่ และ “ตราหมี” ได้ 3 โทรฟี่
ในประวัติศาสตร์ของ 2 สโมสรจากเมืองหลวง ได้มีผู้เล่นชื่อดังในอดีต ที่เคยลงสนามให้กับทั้งเรอัล มาดริด และแอตฯ มาดริด ยกตัวอย่างเช่น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว, อูโก้ ซานเชซ, แบรนด์ ชูสเตอร์ ฯลฯ
ขณะที่นักเตะในยุคปัจจุบัน ที่ได้มีโอกาสสวมเสื้อให้กับ 2 สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งมาดริด อย่างเช่น ติโบต์ กูร์กตัวส์, มาร์กอส ยอเรนเต้, อัลบาโร โมราต้า, มาริโอ เอร์โมโซ, เซร์คิโอ เรกีลอน และซาอูล ญีเกซ
การพบกันของ 2 สโมสรที่ดีที่สุดจากเมืองหลวงของสเปน ถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยอมกันได้ และนี่คือ 5 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรพลาดชมศึกนัดสำคัญอย่างดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงมาดริด
รีแมตช์ฟุตบอลถ้วยเมื่อ 1 เดือนก่อน
เรอัล มาดริด และแอตฯ มาดริด เพิ่งพบกันในฟุตบอลถ้วยโคปา เดล เรย์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็น “ราชันชุดขาว” ที่เอาชนะ “ตราหมี” ด้วยสกอร์ 3 – 1 หลังต่อเวลาพิเศษ
หลังจากจบเกมมาดริด ดาร์บี้ ทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ มีคิวทำศึก “เอล กลาซิโก้” กับบาร์เซโลน่า ในโคปา เดล เรย์ รอบรอง
ชนะเลิศ นัดแรก 2 มีนาคม ที่เบอร์นาเบว และนัดสอง 5 เมษายน ที่คัมป์ นู
ศึกดวลความเหนียวระหว่าง กูร์กตัวส์ vs โอบลัค
ติโบต์ กูร์กตัวส์ ของเรอัล มาดริด และแยน โอบลัค ของแอตฯ มาดริด ถือเป็น 2 ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีหลังสุด เพราะทั้งคู่คว้ารางวัลนายทวารยอดเยี่ยมของลาลีการวมกันได้ถึง 8 สมัย
สำหรับสถิติในฤดูกาลนี้ กูร์กตัวส์ ลงสนาม 16 เกม คลีนชีต 5 เกม เสีย 14 ประตู (เฉลี่ย 0.88 ประตูต่อเกม) ส่วนโอบลัค ลงสนาม 20 เกม คลีนชีต 9 เกม เสีย 15 ประตู (เฉลี่ย 0.75 ประตูต่อเกม)
สไตล์ที่แตกต่าง เก่งเกมรุก vs เก่งเกมรับ
เรอัล มาดริด คือทีมที่ยิงประตูในลาลีกาได้มากที่สุดในฤดูกาลนี้ (46 ประตู) โดยวินิซิอุส จูเนียร์ คือนักเตะที่สร้างความปั่นป่วนในแนวรับฝ่ายตรงข้ามได้มากที่สุดในลีก เพราะเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จถึง 61 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม แอตฯ มาดริด ก็เป็นทีมที่ชอบสร้างปัญหาให้กับเกมรุกฝั่งตรงข้าม เพราะทำสถิติเข้าแย่งบอล (tackle) มากที่สุด 252 ครั้ง และสกัดบอลจากการส่งของคู่แข่ง (intercept) 197 ครั้ง มากที่สุดเช่นเดียวกัน
นักเตะ 2 ทีมคู่ชิงเวิลด์ คัพ กลับมาดวลกันอีกครั้ง
2 สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งกรุงมาดริด มีผู้เล่นที่มาจากประเทศคู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 คืออาร์เจนติน่า และฝรั่งเศส รวมทั้งหมด 6 คน ซึ่งพวกเขาพร้อมแล้วที่จะพบกันอีกครั้ง ในศึกแห่งศักดิ์ศรีของคู่ปรับร่วมเมืองหลวง
เรอัล มาดริด มี 2 นักเตะฝรั่งเศสอย่างออเรเลียง ชูอาเมนี่ และเอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า ส่วนแอตฯ มาดริด มีอองตวน กรีซมันน์ ของฝรั่งเศส รวมถึง 3 แข้งแชมป์โลก ได้แก่ นาฮูเอล โมลินา, โรดริโก เด ปอล และอังเคล คอร์เรอา
ดาร์บี้แมตช์ที่ทั้งคู่ต่างต้องการ 3 แต้ม
ในเวลานี้ เรอัล มาดริด ตามหลังบาร์เซโลน่า ทีมจ่าฝูง 8 แต้ม ชัยชนะเท่านั้น ที่จะช่วยให้สถานการณ์แย่งแชมป์ลาลีกายังคงตื่นเต้นต่อไป แต่ถ้าผลออกมาเป็นอย่างอื่น โอกาสลุ้นแชมป์จะน้อยลงไปอีก
ทางด้านแอตฯ มาดริด ที่รั้งอันดับ 4 ก็ต้องการชัยชนะเช่นกัน เพื่อรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ต่อไป หากไม่ชนะ ก็จะเปิดโอกาสให้เรอัล เบติส ทีมอันดับ 5 ที่ลงเตะก่อนในคืนวันศุกร์ พบกับเอลเช่ ทำแต้มไล่จี้ขึ้นมา
ชัยชนะในศึกดาร์บี้แมตช์ เป็นเรื่องที่พิเศษเสมอ เหมือนที่อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ อดีตแข้งตำนานเรอัล มาดริด ได้กล่าวไว้ “ทีมที่เราต้องการเอาชนะคือเพื่อนบ้าน ถ้าหากแพ้ แฟนๆ ของเราต้องทรมานกับคำล้อเลียนในวันรุ่งขึ้นแน่ๆ”
ที่มา: soccersuck