UCL เปลวเพลิงที่ไม่ใช่เตาแก๊สสำหรับ “ราชัน”
เกมคุณภาพระดับโลกทำให้คู่อื่นๆที่เราดูทุกๆสัปดาห์กลายเป็นบอลเด็กไปเลยเมื่อ เรอัล มาดริด ปะทะกับ แมนฯซิตี้ ในเกม UCL รอบรองชนะเลิศเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
2 ประตูที่ เบอร์นาเบว สวยงามอลังการงานสร้างจาก 2 ผู้เล่น world class ทั้ง วินิซิอุส และ เควิน เดอ บรอยน์
แค่นี้ก็เพียงพอทำให้ชาวนกฮูกอย่างเราๆท่านๆคุ้มแสนคุ้ม
ข้อสังเกตคือทั้ง 2 ทีมทำประตูได้ในช่วงเวลาที่ถูกอีกฝ่ายเข้าครอบงำ
“When we were better they score. When they were better we score, ตามที่ เป๊ป ว่าเอาไว้ทุกอย่าง
กล่าวคือครึ่งแรกเป็นของ ซิตี้ แต่ เจ้าบ้านโป้งเดียวหาย ในขณะที่ครึ่งหลัง มาดริด มาดีกว่าแต่โดนตีเสมอกับประตู controversial goal บอลข้ามเส้นข้างก่อน เดอ บรอยนต์ ยิงไกล
มีการตั้งคำถามทั้งจากแฟนบอลและสื่อต่างๆว่าทำไม VAR ไม่ยอมเช็กเนื่องจากมีผลต่อประตูซึ่งปกติยูฟ่ามักไม่ค่อยปล่อยผ่าน ถ้าเป็นพรีเมียร์ยังพอเข้าใจ
ครับผลเสมอในบ้านดูผ่านๆเหมือน “ราชัน” เสียเปรียบแต่สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะเล่นสนามไหมวันไหนหรือปีไหน
แชมป์ยุโรป 14 สมัยจะใช้วิธีการเดิม, รูปแบบเดิม ความได้เปรียบเสียเปรียบในเสียงเชียร์จะไม่ใช่ตัวกำหนดแท็คติกส์ของพวกเขาเลย
ความเก๋าความเจนสนามรบเป็นสิ่ง เรอัล มาดริด ไม่เป็นสองรองใคร
เมื่อเสียงเพลง UCL ดังขึ้นเมื่อไหร่สำหรับบางทีมอาจะเป็นแค่เปลไฟจากเตาแก้ส แต่กับ มาดริด มันคือ “บ้าน” ของพวกเขาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
กี่ครั้งกี่รอบแล้วที่ “ราชัน” เป็นรองหลายทีมที่สดกว่า, มี energy กว่าแต่เห็นเดินร้องไห้เข้าอุโมงค์เกือบทุกราย
พูดง่ายๆ มาดริด เจอสถานการณ์อะไรพวกนี้จนรู้สึก “ชิน” กับมันไปแล้ว
ผมกำลังจะบอกว่า เรอัล มาดริด มีพิมพ์เขียวในหัวว่าควรต้องเล่นอย่างไรและมีวิธีทลายแนวรับคู่แข่งตอนไหน
ก่อน วินิซิอุส ยิงขึ้นนำ 1-0 ในนาที 36 เหลือเชื่อว่า มาดริด โอกาสเป็น 0 !!
เจ้าบ้านปล่อยให้ “เรือใบ” initiate หรือเป็นผู้เริ่มเข้าทำตามสบายโดยที่เชื่อใจเกมรับและไว้ใจเกมรุก
ในครึ่งแรก ซิตี้ เจาะไม่เข้าและถูกบีบให้ต้องยิงไกลซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรงมือกาวระดับ ธีโบต์ คูร์กตัวส์ (ก่อนเจอทีเด็ดลูกยิงเต็มตีนเตี่ยของ KDB ในครึ่งหลัง)
เกมรับของ มาดริด นอกจากยืนคุมพื้นที่อย่างแข็งแกร่งแล้ว หน้าที่คุมตัวทำได้ไร้ที่ติ
ฮาลันด์ ถูก รูดิเกอร์ เข้าสิงตามเกาะติดเป็น สแตนด์ล่าข้ามศตวรรษ
ในขณะที่ คาร์บาฆาล ทั้งข่มและขู่ แจ็ค กรีลิช จนตบะแตกจากจังหวะชนไปบวกกับป้ายโฆษณาไฟฟ้า
สิ่งเหล่านี้แสดงความเป็นตัวตนของ เรอัล มาดริด ที่ อันเช่ หาจุดบาลานซ์ระหว่างผู้เล่นประสบการณ์และแข้งไดนามิคอย่างลงตัว
แฟน ลิเวอร์พูล จนถึงวันนี้ยังลืมไม่ลงว่ารอบชิงปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“หงส์แดง” มีโอกาสตลอดทั้งเกม 23 หนในขณะที่ มาดริด แค่ 3 แต่กลับเป็นผู้ชนะด้วยประตูของ วินิซิอุส คนดีคนเดิม
มาดริด ตั้งรับเหมือนทีมอื่นๆที่ ซิตี้ เจอมาทั้งในพรีเมียร์ลีกและยุโรป แต่ที่ต่างกันคือความเทพของเจ้าพ่อกระทิงคือการแกะเพรสที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำไม่ง่าย
ลูก 1-0 เป็นหลักฐานชัดเจนว่า “เรือใบ” รุมเพรสริมเส้นพื้นที่ไม่เหลือแล้วกะว่าช็อตนี้ “แดก” แน่นอนแต่ คามาวิงก้า (ที่เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย) กับ โมดริช เล่น 1-2 จนกระชากตั้งแต่แดนตัวเองก่อนนำมาสู่ประตูของ วินิซิอุส
หรือแม้กระทั่งตั้งแต่นาทีที่ 3 ที่ เบนเซม่า เขี่ยบอลจากการถูกรุมให้ วินิฯ กระชากหลุดขึ้นไปยังตราตรึงผมไม่หาย
ทั้ง เบนเซม่า, โมดริช และ โครส เป็นบอลมันสมองบอลเชิงโดยอาศัยพลังงานน้องๆทั้ง วินิซิอุส, บัลเบรเด้, โรดริโก้ และ คามาวิงก้า มาช่วยซัพต่อ
นี่คือสิ่งที่พวกเราในฐานะแฟนบอลอยากเสพครับ เราเตะบอลเล่นๆขำๆกับเพื่อนๆทำได้แต่เทคนิคเบสิกๆก็อยากรับชมอะไรจากนักฟุตบอลระดับโลกที่พวกเราทำไม่ได้
ถ้าต้องให้มาร้องระงมกับการดูบอลที่การจ่ายธรรมดาพื้นๆยังไม่ตรงเพื่อนหรือไม่มีจังหวะพลิกแพลงว้าวๆมันเสียอารมณ์
ครับ การเพรสการไล่บดการขึงเกมของ “เรือใบ” เป็นศาตร์ที่ไร้ความปราณีต่อคู่แข่งของ เป๊ป แต่ มาดริด แสดงให้เห็นแล้วกับเกมเคาเตอร์ที่น่ากลัวเอามากๆ
อย่างที่บอกครับวิธีการเล่นจากนักเตะประสบการณ์เช่นนี้เสียงเชียร์จะไม่ถึงกับเขย่าขวัญจนแกว่งเหมือนทีมอื่นๆ
ริโอ เฟอร์ดินานด์ ยังเชื่อว่า มาดริด จะมาเยือน เอติฮัด แบบ “no fear”
เช่นเดียวกับ โจเลออน เลสค็อตต์ อดีตกองหลัง ซิตี้ กลับมองว่าเป็นฝั่งทีมเก่าเข้าต่างหากที่รู้สึกแปล๊บๆที่ไม่ชนะจากการบุกมาครองเกมที่ เบอร์นาเบว และสร้างโอกาสนับ 10 ครั้ง
อย่างที่ เป๊ป บอกครับนับจากนี้เลกสองไม่ต่างอะไรกับ “นัดชิง”
ในวันพุธหน้าทีมที่ดีที่สุดของรายการนี้จะเหลือเพียงหนึ่งเดียว ใครก็ได้ครับคู่ควรเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง…
สถิติ สถิติ สถิติ
เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ UCL แค่ 2 จาก 9 ครั้งหลังสุดหากพวกเขาไม่ชนะในเกมแรกโดยทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของ แมนฯยูฯ (1999/00 , 2012-13)
แมนฯซิตี้ ไม่แพ้ใครในทุกรายการ 21 เกม (ชนะ 17 เสมอ 4) นับตั้งแต่แพ้ สเปอร์ส 1-0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์โดย 3 จาก 4 เกมที่เสมอเกิดขึ้นในนัดเยือน UCL ทั้งสิ้น
7 จาก 14 ประตูของ เควิน เดอ บรอยน์ ใน UCL มาจากการยิงนอกเขตโทษทั้งสิ้นโดยนับตั้งแต่ย้ายมา ซิตี้ เมื่อฤดูกาล 2015-16 แข้งเบลเยียมมี % ยิงไกลเหนือทุกคนที่สุดในรายการนี้ (50% นาที 10 ประตู)
ที่มา: soccersuck