ดังในชั่วข้ามคืน “ก.รามอส” แฮทริคฝัง “ค.โด้”
ข่าวหลุดก่อน โปรตุเกส ลงสนามพบ สวิตเซอร์แลนด์ หลายชั่วโมงแม่นยำตรงเป๊ะเมื่อ แฟร์นานโด ซานโตส กุนซือทีมชาติ โปรตุเกส ดร็อบ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ นั่งข้างสนาม
ข่าวนี้สร้างความฮือฮาให้โลกโซเชี่ยลเป็นอย่างมากเพราะไม่มีใครคิดว่า ซานโตส จะกล้าหาญชาญชัยตัด ค.โด้ ออกจาก 11 ตัวจริงในเกมสำคัญรอบน็อกเอาท์ทั้งๆที่พรี่เขายึดตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ 2008 (เฉพาะทัวร์นาเมนท์เมเจอร์)
ไม่ว่าจะตัวจริงหรือสำรองความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ ค.โด้ ขายข่าวได้เสมอ การถูกรุมจากบรรดาช่างภาพที่นับด้วยสายตาไวๆไม่ต่ำกว่า 30-40 คนที่ม้านั่งสำรองก่อนเกมตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ได้เป็นอย่างดี
เบอร์ 1 ที่ว่านี้อาจไม่ใช่ในแง่ของฝีเท้าในสนามอีกแล้วเพราะสปอร์ตไลท์อีกหลายตัวแบ่งไปฉายให้นักเตะโนมเนมที่ไม่มีใครสนใจอย่าง กอนซาโล่ รามอส เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ โปรตุเกส ค้นพบขีปนาวุธทำลายล้างพลิกฟื้นทีมที่ขาดอะไรไปซักอย่างในรอบแบ่งกลุ่มให้กลายเป็นทีมที่พร้อมเจอกับใครก็ได้
รามอส ลงเล่นตัวจริงบอลโลกหนแรกก็รีบร้อนกดแฮทริคทันทีแถมเป็นนักเตะคนแรกที่ทำแฮทริคในฟุตบอลโลกหนนี้ได้อีกต่างหาก!!
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สัมผัสเกมชนะ อุรุกวัย ไปแค่ 19 นาทีและกับ กาน่า ลงไปฆ่าเวลา 13 นาที (รวมทดเจ็บทั้ง 2 เกม)
ลูกยิงมุมแคบแสกหน้าสนามแทบแตกใส่ แยน ซอมเมอร์ ในนาทีที่ 17 นอกจากทำให้คนดูและผู้บรรยายร้องแต๋วแตกกันถ้วนหน้าแล้วยังเป็นการทำลายขวัญของแข้ง “นาฬิกา” ก่อนยอมมอบตัวแพ้ยับถึง 6-1
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมที่สนาม ลูซาอิล ไอคอนิค สเตเดี้ยม บทความ Who is Goncalo Ramos? โผล่ในกูเกิ้ลทันที
รามอส ลืมตาดูโลกเมื่อปี 2001 ที่เมือง โอลเญา ประเทศ โปรตุเกส ปัจจุบันอายุ 21 ปีย่าง 22
เจ้าหนูตีนคมเป็นผลผลิตของสโมสร เบนฟิกา โดยย้ายมาร่วมทีมเยาวชนตั้งแต่อายุ 12 ขวบ
ดาวยิงเจ้าของความสูง 6 ฟุต 1 (185 ซม.) ถล่มประตูให้ทีม เบนฟิก้า บี จนกระทั่งขึ้นมาเล่นชุดใหญ่เมื่อต้นซีซั่น 2021/22
รามอส เดบิ๊วท์เป็นตัวจริงในเกม UCL ชนะ สปาร์ตัก มอสโกว์ 2-0 แต่เจ้าตัวกลับนั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่เนื่องจาก “เหยี่ยวลิสบอน” ถอยกองหน้าป้ายแดงอย่าง โรมัน ยาเรมชุค มาจาก เก็งค์ และ ดาร์วิน นูนเญซ คัมแบ็คจากอาการบาดเจ็บ
แต่สถานการณ์มักสร้างวีรบุรุษเสมอเมื่อผลงานของ เบนฟิก้า ไม่สู้ดีเลยทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นอุตสาห์เขี่ย บาร์เซโลน่า ร่วงตกรอบ UCL และควงแขน บาเยิร์น มิวนิค เข้ารอบน็อกเอาท์
อันดับในลีกหล่นไปอยู่ที่ 3 ตามทั้ง สปอร์ตติ้ง ลิสบอน และ ปอร์โต้ เกมในบ้านก็แพ้รัวๆส่งผลทำให้ จอร์เก้ เจซุส ถูกไล่ออก
คนที่มาทำหน้าที่ชั่วคราวไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ เนลสัน เวริสซิโม่ ที่คลุกคลีทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชในทีม บี มาตั้งแต่ปี 2012
แน่นอน รามอส แจ้งเกิดในทีมชุด บี ภายใต้การทำทีมของเขา ความไว้วางใจในฝีเท้าจัดเต็มไม่ต้องพูดถึง
หอกร่างยักษ์ลงสนามอย่างต่อเนื่องก่อนตอบแทนด้วยฟอร์มที่ “จุดติด” ยิง 7 ประตูกับ 2 แอสซิสต์
จากการที่เล่นได้หลายตำแหน่งในแดนบนส่งผลทำให้เป็นลูกรักของ โรเจอร์ ชมิดท์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ แทบจะทันที
ประกอบกับการย้ายไปสร้างคอนเทนท์กับ ลิเวอร์พูล ของ นูนเญซ และ ยาเรมชุค ถูกขายให้ คลับ บรูกก์ อย่างรวดเร็วทั้งๆที่เพิ่งย้ายมาปีเดียว ที่นี่จึงเป็นเวทีของ รามอส อย่างแท้จริง
รามอส กระหน่ำยิง 14 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์ใน 23 เกมทุกรายการ
ฟอร์มเตะตาขนาดนี้ แฟร์นานโด ซานโตส กุนซือทีมชาติ โปรตุเกส ปฏิเสธไม่ลงตัดสินใจหนีบเข้ามาเป็น 1 ใน 26 ขุนพลลุยฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ด้วย
เส้นทางอันน่าทึ่งของ รามอส สุดจริงๆเพราะก่อนร่วมทัวร์นาเมนท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเจ้าหนูวัย 21 ปีเพิ่งติดทีมชาติมาแค่หนเดียวเท่านั้น
นั่นเท่ากับว่าก่อนลงสนามเป็นตัวจริงพบ สวิตเซอร์แลนด์ “รามอส” มีชั่วโมงบินกับ โปรตุเกส 3 เกมที่จำแนกออกมาแล้วสิริทั้งสิ้น 34 นาที
เซาธ์แฮมป์ตัน และ นิวคาสเซิ่ล เคยให้ความสนใจ รามอส เมื่อเดือนสิงหาคมในขณะที่อีก 1 เดือนต่อมา แมนฯยูฯ มีข่าวว่าเตรียมส่งตัวแทนไปคุยเพื่อหาข้อสรุปในการย้ายทีมต้นปีหน้าแทน ค.โด้ ที่แยกทางกับสโมสร
ในขณะนั้นค่าตัวของ รามอส อยู่ที่ราวๆ 25-30 ล้านปอนด์แต่มูลค่าถีบตัวสูงกว่านั้นไปไกลหลายปีแสงทันทีที่น้องแกกดแฮทริคใส่ สวิตเซอร์แลนด์
2 ใน 3 ประตูที่ รามอส เจ้าของท่าดีใจ “ปัง ปัง ปัง” ยิงต่อหน้าสักขีพยานนับล้านทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงออร่าแข้งซุปตาร์ในอนาคตอย่างแท้จริง
เป็นการผสมผสานระหว่างความเฉียบคม (ลูกแรก) และเทคนิคความเยือกเย็น (ลูก 3) หรือจะเอาให้ครบๆจบๆคือสัญชาตญาณในกรอบเขตโทษ (ลูก 2)
เจอของจริงที่สดและแกร่งกว่า ค. โด้ รู้ชะตากรรมตัวเองกับชีวิตที่เหลือในบอลโลกหนนี้แทบจะทันที
เป็นเพชรเม็ดเบ้อเริ่มที่โผล่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและเชื่อเหลือเกินว่าอีโก้ที่คิดว่าตัวเองเจ๋งสุดในแดนหน้าของ ค.โด้ ต่อไปนี้สงบปากสงบคำทำตัวให้เหมือนนักเตะสำรองคนอื่นๆได้แล้ว
การมี รามอส เป็นหน้าเป้า ทำให้ตัวสร้างสรรค์เกมจ่ายบอลเก่งๆอย่าง บรูโน่ แฟร์นาน หรือ แบร์นาโด้ ซิลวา แทงกันเพลินไม่มีอาการเกร็งหรือกดดันต้องคอยส่งบอลให้พี่ใหญ่ตลอดเหมือนเมื่อก่อน
ความไว/ความแกร่ง ลูกห้าวเหนือกว่า โด้ ที่มีดีแค่ลงมาเชื่อมเกมโชว์ลีลาเล็กๆขอสัมผัสบอลให้เกมมันดีเลย์เล่นเฉยๆ
ก่อนหน้านี้ผมเคยมองว่า โปรตุเกส ทีมนี้ไร้น้ำยา ก็แค่คัดเลือกนักเตะดังๆของแต่ละสโมสรมาร่วมทีมเดียวกันแต่ไม่มีระบบที่ชัดเจน เล่นบอลเชื่องช้าราวกับยุคโมเดมอินเตอร์เน็ตสมัยก่อนแต่ รามอส เข้ามาทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
กองหน้าที่มีค่า rating ในเกมฟีฟ่าอยู่ที่ 76 และ potential 85 ค่าตัว 17 ล้านยูโรและค่าเหนื่อย 11k ต่อสัปดาห์ไปแหวกหญ้าให้งู (โมร็อกโก) ตื่นไปเรียบร้อยแล้ว
รอบ 8 ทีมจะเป็นครั้งแรกที่ รามอส เตรียมถูกคุมตัวคุมพื้นที่มากกว่าเดิมโทษฐานเป็นนักเตะในสถานะตัวอันตรายมากกว่าโนมเนม
สตอรี่ในฟุตบอลโลกหนนี้มีอะไรใหม่ๆให้น่าติดตามอยู่ตลอดจริงๆครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ (ของ รามอส)
โปรตุเกส ยู-17 (1 ประตูจาก 9 นัด)
โปรตุเกส ยู-18 (0 ประตูจาก 2 นัด)
โปรตุเกส ยู-19 (9 ประตูจาก 15 นัด)
โปรตุเกส ยู-20 (0 ประตูจาก 2 นัด)
โปรตุเกส ยู-21 (14 ประตูจาก 18 นัด)
โปรตุเกสชุดใหญ่ (4 ประตูจาก 4 นัด)
สถิติ สถิติ สถิติ
รอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 มีประตูเกิดขึ้นมากมาย 28 ลูกนำเป็นการยิงมากที่สุดในรอบนี้นับตั้งแต่เริ่มมีรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อปี 1986
กอนซาโล่ รามอส เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงแฮทริคในฟุตบอลโลกจากการลงเล่นตัวจริงหนแรกนับตั้งแต่ มิโรสลาฟ โคลเซ่ เคยทำไว้กับ เยอรมัน เมื่อปี 2002
รามอส ใช้เวลา 17 นาทีก็ยิงประตูในรอบ “น็อกเอาท์” ฟุตบอลโลกได้แล้วซึ่งมากกว่า คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ที่เล่นไป 514 เกมแต่ 0 ประตู (8 ประตูที่ยิงได้มาจากแค่ในรอบแบ่งกลุ่ม)
ค.โด้ ไม่ได้ลงเล่นตัวจริงให้ โปรตุเกส ในรายการเมเจอร์หลักเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 2008 ยุติจองตำแหน่งแบเบอร์ไว้ที่ 31 เกม
บรูโน่ แฟร์นานเดส มีส่วนกับ 5 ประตูใน 3 เกมในฟุตบอลโลกหนนี้ (2 ประตู 3 แอสซิสต์) เป็นตัวเลขที่มากที่สุดของแข้ง โปรตุกีส ที่ทำได้การเล่นทัวร์นาเมนท์เดียวนับตั้งแต่ที่ ยูเซบีโอ (10) และ โจเซ่ ตอร์เรส (6)
เปเป้ (39 ปี 283 วัน) กลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ทำประตูในรอบน็อกเอาท์ในฟุตบอลโลก
วาลิด เรกรากุย ของ โมร็อกโก เป็นผู้จัดการทีมชาว แอฟริกัน คนแรกที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก
โมร็อคโก เป็นชาติแอฟริกันทีมที่ 4 ที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกหลัง แคเมอรูน เคยทำไว้เมื่อปี 1990, เซเนกัล 2002 และ กาน่า 2010
สเปน กลายเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่แพ้การดวลจุดโทษ 4 ครั้งและยังเป็นทีมที่ 2 ที่ยิงไม่เข้าเลยซักลูกหลังก่อนหน้านี้ สวิตเซอร์แลนด์ เคยกินไข่ด้วยสกอร์เดียวกัน 3-0 ในการดวลเป้ากับ ยูเครน เมื่อปี 2006
เกมกับ โมร็อกโก “กระทิงดุ” ได้ยิงแค่หนเดียวใน 45 นาทีแรก นับเป็นการยิงในครึ่งแรกในฟุตบอลโลกที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติในปี 1966
ในวัย 18 ปี 123 วัน กาบี้ เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในรอบน็อกเอาท์ฟุตบอลโลกนับตั้งแต่ เปเล่ เคยทำไว้เมื่อปี 1958 (17 ปี 249 วัน)
ที่มา: soccersuck