ฝันร้าย “สิงโต” หนีไม่พ้นจุดโทษ

ฟีลลิ่งของผู้เล่นและแฟนบอล อังกฤษ จะไม่ดิ่งไปมากกว่านี้หากจนแล้วจนรอดแพ้ ฝรั่งเศส ไปเลย 2-1 โดยไม่ต้องมีเรื่องยิงจุดโทษไม่เข้าของ แฮร์รี่ เคน

ลูกโทษเบิร์ดข้ามคานในนาที 84 ทำให้ “สิงโตคำราม” add to their story กับเรื่องราวเก่าๆที่มีปมเรื่องยิงจุดโทษห่วยอันลือลั่น

บอลโลกเคยดวลจุดโทษ 4 หนมีอัตราชนะแค่ 25% และในยูโร 5 ครั้งชนะแค่ 20% ซึ่งงวดนี้แม้ไม่ได้ลากยาวไปดวลเป้าเหมือน ยูโร รอบชิงครั้งล่าสุด เป็นเพียงแค่ลูกโทษลูกนึงเหมือนทีมอื่นๆ

แต่การที่มันมีปมอยู่แล้วย่อมรู้สึกว่าทำไมต้องเดจาวูล้มเหลวจากไอ้การยิงจากระยะ 12 หลาอีกแล้ว

ผมเห็นด้วยกับผู้บรรยายไทยที่บอกว่าการที่ เคน กับ ฮูโก้ ญอริส ซ้อมด้วยกันทุกวันเลยอาจคิดเยอะและเลือกเพิ่ม “ท็อปปิ้ง” การยิงเข้าไปก่อนข้ามคานในที่สุด

หากเรามองในแง่ที่ลูกทีม แกเรธ เซาธ์เกท เจาะ ฝรั่งเศส ด้วยลูกโอเพ่นเพลย์ไม่ได้เลยต้องบอกว่า อังกฤษ ตื้อและตอแยมาได้เกือบสุดทางเอามากๆ

ประเด็นปัญหาที่หลายคนเอามาถกกันต่อหลังจบเกมคือลูก 1-0 ของ ฝรั่งเศส ที่จุดเริ่มต้นควรเป็น อังกฤษ ที่ได้ฟาว์ลของ บูกาโย่ ซาก้า

ผมมองว่า วิลตอน เปเรร่า ซามปาโญ่ ชาวแซมบ้าวัย 40 ปีไม่เช็ก VAR เนื่องจากการทำฟาว์ลอยู่นอกเขตโทษซึ่งตามกฏหากไม่เข้าข่ายเป็นจุดโทษจะไม่เช็กย้อนหลัง

เป็นความซวยซ้ำซ้อนที่ผู้ตัดสินมองการเข้าข้างหลังเป็น “แฟร์ แท็คเกิ้ล” ตั้งแต่แรกจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

แน่นอนครับสื่อ “ผู้ดี” ถนัดในเรื่องจิกกัดในทุกๆเรื่องที่ต้องการ (แม้กระทั่งคนชาติเดียวกัน) ได้โจมตี ซามปาโญ่ ที่เป็น “ตัวตึง” มาตั้งแต่ให้จุดโทษกังขากับ ซาอุดิอาระเบีย ในเกมพบ โปแลนด์ มาแล้ว

ไม่หมดแค่นี้ยังตามแฉไปถึงความบ้าวินัยและบ้าเครื่องแบบหลังตัดสินในลีก บราซิล แค่ 21 เกมแต่แจกใบเหลืองไป 105 ใบและอีก 4 ใบแดง

ดูท่าจะแค้นจัดนะครับ ยังมีไปหาสถิติตลอดชีพของผู้ตัดสินคนนี้มาด้วยว่าเป่ามามากถึง 381 เกม มีใบเหลือง 1,856 และอีก 102 ใบแดงรวมถึงให้จุดโทษ 114 ครั้ง

ผมรู้สึกว่า อังกฤษ ชุดนี้ต่างจากการมาเล่นทัวร์นาเมนท์เมเจอร์ในอดีตอยู่พอสมควร

กล่าวคือรูปแบบการเล่นชัดเจนและกดฝั่งตรงข้ามได้ทุกทีมซึ่ง “ตราไก่” เองก็เผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าวหลังขึ้นนำทั้ง 2 หนก่อนเลือกตั้งรับ

อย่างไรก็ตามหากไม่อยากให้นักเตะฝีเท้าดีๆหลายคนต้องก้าวผ่านยุคของตัวเองไปแบบสูญเปล่าเหมือนในสมัยปี 2006 ที่เต็มไปด้วยสตาร์อย่าง โอเว่น, เจอร์ราร์ด, รูนีย์, เบ็คแฮม, แลมพาร์ด, เทอร์รี่, ริโอ และ โจ โคล ฯลฯ

อังกฤษ ชุดนี้ควรเก็บเวลประสบการณ์จากฟุตบอลโลกหนนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปล่อยของในอีก 2 รายการถัดไปทั้งแชมป์ยูโรและฟุตบอลโลกรอบถัดไป

ถึงเวลานั้น ไรซ์, จู๊ด, โฟเด้น, เมาท์ หรือ ซาก้า จะ mature หรือโตเต็มวัยเป็นกำลังหลักแทนพวกแข้งอายุเลข 3 อย่าง เฮนโด้, เคน, แม็คไกวร์ หรือวอล์กเกอร์

หากคิดให้ซับซ้อนไปกว่านั้นตัวผู้จัดการทีมอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยใน 2 แง่มุม

1. คือ เซาธ์เกท อาจจะเวลตันมาได้สุดทางแค่นี้และจำเป็นต้องมีคนอัดฉีดไอเดียใหม่ๆ หาไม่แล้วมันก็จะเข้าข่ายใช้คนเดิมหวังแต่ผลต่างจากเดิม

หรือ 2. เซาธ์เกท ยังเป็นคนที่ “ชั่ย” รอแค่นักเตะดาวรุ่งเก็บชั่วโมงบินจนถึงเวลาที่เหมาะสม

ครับนั่นเป็นเรื่องของทีมชาติ อังกฤษ แต่สำหรับผู้ที่ได้ไปต่ออย่าง ฝรั่งเศส กำลังลุ้นขึ้นแท่นเป็นทีมที่ 3 ที่ป้องกันแชมป์โลกได้หลัง อิตาลี (1934/1938) และ บราซิล (1958/1962)

การขาดหายไปของ คาริม เบนเซม่า ไม่ได้ทำให้ทีม “ตราไก่” ดูยวบลงซ้ำร้ายน่ากลัวกว่าเดิมกับการมี โอลิวิเยร์ ชิรูด์

การหาจังหวะยิงประตูที่ชาวบ้านชาวช่องเขาปล่อย “จอย” แต่อดีตหอก อาร์เซนอล มักโผล่มาแสดงตัวอยู่บ่อยครั้งและเป็นคนตัดสินเกมนี้ไม่ให้ยืดเยื้อไปมากกว่าภายใน 90+8

ลูกสารพัดกลางอากาศคือเวทีของกองหน้าวัย 36 ปี สมแล้วครับที่ เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ ครั้งนึงเคยยอมรับเอาไว้ว่า ชิรูด์ เป็นพวก “annoying person” หรือน่ารำคาญอย่างที่สุด

เมสซี่, กุน, ฮาลันด์ เป็นพวกดาวยิงฝีเท้าจัดจ้านแต่สำหรับ ชิรูด์ มีคุณสมบัติข้างฉลากครบตามที่อย.ระบุไว้

ตรงนี้เองที่ VvD นิยาม ชิรูด์ เปรียบเสมือน bogeyman หรือปีศาจในจินตนาการที่เอาไว้ขู่เด็กๆ

บอลโลกหนนี้ได้ 4 ทีมในรอบรองชนะเลิศครบหมดแล้ว ถ้ามองแค่ชื่อเสียงเรียงนามแน่นอน โมร็อกโก คือทางผ่านเข้ารอบชิงของทีม “ตราไก่”

แต่สำหรับใครที่เป็นสักขีพยานเห็น โมร็อกโก ของบิ๊กบอส วาลิด เรกรากุยโค่นทั้ง สเปน และ โปรตุเกส มันไม่ใช่ว่า ฝรั่งเศส จะเป็นเหยื่อรายต่อไปไม่ได้

ต่อให้ ดิดิเยร์ เดชองส์ และนักเตะมีข้อมูลและ respect โมร็อกโก ในระดับสูงสุดแต่รูปแบบการเล่นของตัวแทนหนึ่งเดียวจากทวีปแอฟริกาไม่มีเปลี่ยนไปแน่นอน

การเอาตัวรอดในพื้นที่แคบๆจากการถูกเพรสเป็น “เดอะ แบก” และทำให้เราๆท่านๆรู้สึกทึ่งไปกับทีมเล็กๆที่ไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์ล้นทีมแต่ฝึกซ้อมวิธีการเล่นได้อย่างมีระบบ

การแกะเพรสบริเวณริมเส้นมีข้อดีอย่างนึงคือมีโอกาสถูกโจมตีน้อยกว่าจุดอื่น กล่าวคือไม่โดนเราก็โดนเขาออกเส้นข้าง เต็มที่เสียแค่ลูกทุ่ม

ระบบการเล่นที่ทุกคนต้องเคลื่อนที่เพื่อรอรับช่วงเล่นต่อจากเพื่อนที่โดนตามประกบส่งผลทำให้ โปรตุเกส ไล่ไม่จน

แม้ “ฝอยทอง” ระวังตัวมาอย่างดีแต่การพลาดหนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ตกรอบกับประตูของ เอน-เนซิรี่ ก่อนหมดครึ่งแรกแค่ 3 นาที

ปัญหาที่ต้องแก้กันหน้างานต่อไปของ โมร็อกโก คือการขาดแนวรับตัวจริงไปถึง 3 คน (ผิดถูกแจ้งได้ครับ) เป็นความท้าทายอย่างยิ่งเมื่อต้องมารับมือกับทีมที่เต็มไปด้วยเทคนิคและสายสปีดอย่าง ฝรั่งเศส

ครับการชิงชัยทุกๆอย่างในโลกนี้ผู้ชนะมันมีได้แค่คนเดียวดังนั้นน้ำตาของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ จะไม่ใช่คนสุดท้ายในบอลโลกหนนี้อย่างแน่นอน…

สถิติ สถิติ สถิติ

ฝรั่งเศส เป็น “แชมป์เก่า” ทีมแรกที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกนับตั้งแต่ บราซิล เคยทำไว้เมื่อปี 1998

นับเป็นหนที่ 7 แล้วที่ อังกฤษ ร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก เป็นตัวเลขที่มมากกว่าชาติอื่นๆในประวัติศาสตร์รายการนี้กันเลยทีเดียว

ไม่มีนักเตะคนไหนยิงจุดโทษในฟุตบอลโลกมากกว่า แฮร์รี่ เคน (4) อีกแล้ว

เคน ยิงประตูให้ อังกฤษ เป็นลูกที่ 53 ครองดาวซัลโวสูงสุดในทีมชาติเทียบเท่า เวย์น รูนีย์ เรียบร้อยแล้ว

เคน สวมปลอกแขนกัปตันทีมในฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 11 เป็นสถิติใหม่ของ “สิงโตคำราม” ไปแล้วเช่นกัน

“สิงโตคำราม” ไม่เคยเอาชนะใครได้เลยในฟุตบอลโลกหากตามหลังในช่วงพักครึ่ง (เสมอ 2 แพ้ 6) ในขณะที่ ฝรั่งเศส ชนะมากถึง 24 จาก 25 เกมหากนำคู่แข่งในช่วงพักครึ่ง

จู๊ด เบลลิ่งแฮม เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ออกสต๊าร์ตเป็นตัวจริงให้ อังกฤษ ในฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้าย (19 ปี 164 วัน) ล้มสถิติเดิมของ เวย์น รูนีย์ นัดที่เจอ โปรตุเกส เมื่อปี 2006 (20 ปี 250 วัน)

คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ยิงประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียวตลอดการเล่นรอบน็อกเอาท์ 8 เกมในฟุตบอลโลก รวมเบ็ดเสร็จ 570 นาที 0 ประตูและมีโอกาสยิงทั้งสิ้น 57 ครั้ง

โปรตุเกส กลายเป็นทีมที่พลาดแล้วเสียประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้ (3 ครั้ง)

โมร็อกโก กลายเป็นทีมจากแอฟริกาชาติแรกที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกโดย 3 ทีมจากกาฬทวีปที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดนเขี่ยร่วงทั้หมด (แคเมอรูน 1990, เซเนกัล 2002 และ กาน่า 2010)

ยาสซีน โบโน่ นายทวารจอมหนึบฉลองลงเฝ้าเสานัดที่ 50 ให้ โมร็อกโก พร้อมกับสถิติเป็นผู้รักษาประตูชาว แอฟริกัน คนแรกที่เก็บ 3 คลีนชีตได้ในฟุตบอลโลกหนเดียว

ยุสเซฟ เอน-เนซิรี่ ยิงประตูในฟุตบอลโลกมากกว่านักเตะ โมร็อกโก คนอื่นๆในประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว (3 ลูก)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด