แชมป์โลกดราม่า GOAT ไร้ข้อกังขา

ฟุตบอลโลกรอบชิงที่เส้นกราฟไร้จุดพีคและกำลังมีแค่ ลีโอเนล เมสซี่ เป็นจุดขายหลัง อาร์เจนติน่า นำ 2-0 แชมป์นอนมาอยู่นานถึง 80 นาที

แต่หลังจากนั้นมันคือตำนานที่นับจากนี้จะถูกเล่าขานไปจนชั่วลูกชั่วหลาน

2 ประตูใน 1 นาที (80 และ 81) ของ คิลิยัน เอ็มบัปเป้คือปฐมบทความระทึกที่ทำให้นี่คือรอบชิงฟุตบอลโลกที่มันที่สุดในประวัติศาสตร์

การจองล้างจองผลาญ “ภาค 2” กับแฮทริคของ “นินจาเต่า” ในช่วงต่อเวลาพิเศษ น.118 แค่ยับยั้งไม่ให้ เมสซี่ ขึ้นชื่อว่าเป็นพระเอกยิงประตูชัยจบสวยๆตามแบบฉบับละครน้ำเน่า

อดคิดไม่ได้จริงๆว่าบทที่เขียนมาทั้งหมดทั้งมวลมัน “เป๊ะ” เกินไปหรือเปล่า การจะมอบแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งสุดท้ายให้ เมสซี่ ต้องระดับธรรมดาที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้เลยเหรอ?

ดราม่าของรอบชิงแทบไม่ส่งสัญญาณใดๆเมื่อดูจากรูปเกมที่สู้กันไม่ได้เลย

“ดุดัน รุมไว หิวกระหาย ทรงพลัง” คำนิยามสั้นๆสรุปความเป็น อาร์เจนติน่า ตลอด 45 นาทีแรก

ทีม “ตราไก่” พังพินาศในแบบที่พวกเราไม่คาดคิดมาก่อน กลางกับหน้าถูกตัดออกจากโลกภายนอก บอลทุกๆจังหวะเสียให้ “ฟ้าขาว” ที่สิงร่างอยู่ใกล้ๆอย่างรวดเร็ว

ครึ่งแรก “แชมป์เก่า” โอกาสยิง 0 เตะมุม 0 ล้ำหน้า 0 เคาเตอร์แอทแทค 0 เรียกว่าอาการหนักสุดๆถึงขนาดที่ ดิดิเยร์ เดชองส์ ทนดูไม่ได้เปลี่ยน 2 ตัวตั้งแต่ก่อนหมดครึ่งแรกด้วยซ้ำ

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ลิโอเนล สคาโลนี่ กุนซือวัย 44 ปีปรับแท็คติกส์ตามคู่ต่อสู้ที่เจอ

แต่สิ่งนึงที่ยังคงอยู่และไม่เปลี่ยนไปไหนคือ work rate ของนักเตะ “มดงาน” ซึ่งอาจจะบอกว่าตัด ลีโอเนล เมสซี่ ตัวสร้างสรรค์ไป 1 ทุกๆคนต้องทำงานเป็น 2 เท่าด้วยซ้ำแต่สิ่งที่แลกมามันคุ้มค่าเอามากๆ

จะว่าไปแล้ว เมสซี่ หรือ ดิมาเรีย ตัวรุกยังกัดฟันช่วยวิ่งไล่และเอาบอลกลับมาได้ด้วย เป็นการใส่หมดแม็กของคนที่เดิมพันกับโอกาสคว้าแชมป์โลกหนสุดท้ายในชีวิต

ด้วยสไตล์ที่คล้ายคลึงกัน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ แบ่งเบางานของ เมสซี่ ไปได้เยอะ หากใครดู ไบรท์ตัน เล่นบ่อยๆจะเห็นได้ว่าทรงบอลโหดมานานแล้ว

อาร์เจนติน่า มาค้นพบตัวเองด้วยวิธีเล่นแบบนี้หลังไม่ได้อยู่ในสถานะตัวเต็งตั้งแต่เปิดสนามแพ้ ซาอุดิอาระเบีย ตรงจุดนี้ผมขอคารวะจริงๆ

ความขยันได้ลบ “ยีนส์ด้อย” ต่อทักษะยวบๆของนักเตะหลายคนก่อนค่อยๆแข็งโป๊กเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันนี้ที่เถลิงคว้าแชมป์โลก

แต่กระนั้นความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของแนวรับ “ฟ้าขาว” เกือบทำให้สาวก เมสซี่ ต้องร่ำไห้

นิโคลัส โอตาเมนดี้ ติดประมาท บอลนำ 2-0 เหลือ 10 นาทีอยู่เป็นตัวสุดท้ายเคลียร์ได้ไม่เคลียร์จนเป็นที่มาของจุดโทษ

หลังจากนั้นเราจะเห็นได้โมเมนตั้มกลับฝั่ง ทีม “ตราไก่” ที่ได้พลังหนุ่มตัวสำรองอย่าง โคมัน ฉกบอลจาก เมสซี่ เป็นลูกตีเสมอ 2-2

แข้งอาร์เจนฯวิ่งจนหมดไปแล้วครับ ไม่มีใครเผื่อก๊อก 2 ในสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน กลิ่นแปลกๆแตะจมูก ยิ่งเข้าใกล้แชมป์โลกกี่ครั้งแต่ยังไม่ได้ซักที ดิ มาเรีย ร้องไห้จนเหนื่อย!!

การผ่านบททดสอบ “ยิงเป้า” ในเกมโคตร “ตึง” กับ เนเธอร์แลนด์ ช่วย อาร์เจนติน่า ไม่มากก็น้อย ผิดกับทาง ฝรั่งเศส ที่นักเตะอายุน้อยหลายคนดูตื่นๆอย่างเห็นได้ชัด

ครับแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ไปอยู่กับทีมไหนคู่ควรด้วยประการทั้งปวงเพราะสิ่งที่ทีม “ตราไก่” ฝากเอาไว้ในทัวร์มาเมนท์นี้รวมถึงรอบชิงสุดดราม่าเป็นอะไรที่อเมซิ่งสุดๆ

แต่สิ่งนึงที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยคือแฟนทั่วโลกมากมายเทใจให้ อาร์เจนติน่า เหตุผลหลักๆมาจาก เมสซี่

ไม่ว่าจะแฟน เมสซี่ ดั้งเดิมอยู่แล้ว, คนที่ไม่ได้เป็นสาวกแต่อยากให้แกจบแบบสวยๆรวมถึงพวกที่ย้ายข้างมาจาก คริสติอาโน่ โรนัลโด้ จากพฤติกรรมทั้งกับ แมนฯยูฯ และในทีมชาติ

และประเด็นสำคัญคือหากได้แชมป์โลกความกังขาต่อตัว เมสซี่ จะไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว

หากจำกันได้ เมสซี่ ได้บัลลงดอร์สมัยที่ 7 เมื่อปีที่แล้วแต่กลับมีประเด็นดราม่าเมื่อติ่ง โรนัลโด้ ไม่ยอมรับผิดผลการตัดสินก่อนสาธยายความห่วยของกัปตันทีมชาติ อาร์เจนติน่า ลงใน IG

– ยิงประตู เรอัล มาดริด ไม่ได้เลยนับตั้งแต่ โรนัลโด้ ย้ายออกไป

– เล่นไม่ออกเวลาเจอทีมใหญ่ในฤดูกาลนี้ (ปีก่อน)

– ได้แค่แชมป์ โคปา อเมริกา ที่จริงๆแล้วควรเตะ 4 ปีหนไม่ใช่เตะแม่งแทบทุกปี

– ไม่เคยยิงประตูในรอบรองหรือรอบชิง

– ฯลฯ

แฟนบอลด่านักฟุตบอลมีให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติแต่ที่ไม่ปกติคือ โด้ แกมาเมนท์ที่โพสนี้สั้นๆว่า “Factos” ที่หมายถึง “ข้อเท็จจริง” หรือเอาแบบภาษาขิงกันของเด็กแว้นซ์ก็ประมาณ “ตามนั้นจ่ะ”

หลัง อาร์เจนฯ คว้าแชมป์ในทวิตเตอร์มีความเคลื่อนไหวจากนักเตะและคนดังมากมายที่พูดถึงเรื่อง GOAT

ดีแคลน ไรซ์ และ แทมมี่ อับราแฮม ควงแขนยก เมสซี่ ‘the best ever’ and ‘greatest of all time’

ส่วน อลัน เชียร์เรอร์ อดีตกองหน้าทีมชาติ อังกฤษ ระบุว่าแชมป์หนนี้ “จารึกชื่อบนดวงดาว”

แซม เควค ซุปตาร์ฮอคกี้ยังร่วมแจมและยืนยันว่าที่เถึยงกันว่าใครคือที่ 1 จบแล้ว ฟันธง!

ในขณะที่ เจค พอล นักมวยยังยกย่องว่า เมสซี่ เป็น “นักกีฬา” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แกใช้คำว่า GAOAT (greatest athlete of all time)

สำหรับผมขอข้ามประเด็น โด้ vs เมสซี่ ใครคือ GOAT ใครคือเบอร์ 1 ไปนะครับเพราะผมไม่ค่อยมีรสนิยมในการดีเบตเรื่องพวกนี้

ทั้ง 2 คนต่างมีความเป็นที่สุดในหลายๆแง่มุมหลายๆมิติของตัวเอง อยู่ที่ว่าคุณเป็นคนของใคร คุณก็จะเลือกข้างมองแต่มุมนั้นๆ

ไม่ว่าจะอีกกี่ 10 ปีหรือ 100 ปีชื่อของ เมสซี่ จะไปปรากกฏอยู่ในทุกๆที่หากมีการพูดถึง GOAT ร่วมกับ โรนัลโด้ อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกอันเป็นที่สุดของที่สุดก่อนตายสำหรับนักฟุตบอลทุกคน วันนี้ เมสซี่ ได้มันมาแล้ว

ลองไล่ชื่อให้ผมดูหน่อยครับว่านักเตะคนไหนเคยได้แชมป์เมเจอร์ทุกรายการกับทั้งทีมชาติและสโมสรหรือรางวัลส่วนตัวครบถ้วนขนาดนี้

ใครจะไม่ยอมรับอะไรไม่สำคัญเท่า “Factos” ที่ไม่เคยโกหกใคร

ขอคารวะแด่ “King no.10” ลีโอเนล เมสซี่ ปิดท้ายไปพร้อมๆกับฟุตบอลโลกที่มันที่สุดครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลีโอเนล เมสซี่ ยิงไปแล้ว 26 ประตูให้ อาร์เจนติน่า ในรายการเมเจอร์ (ฟุตบอลโลก 13, โคป้า 13) นับเป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติศาสตร์แข้งจาก อเมริกาใต้ แซงหน้า “โด้อ้วน” โรนัลโด้ (25)

นับตั้งแต่มีการมอบรางวัล โกลเด้น บอล ในปี 1982 เป็นครั้งแรก ลีโอเนล เมสซี่ เป็นนักเตะคนแรกที่ได้ 2 สมัยในฟุตบอลโลก 2014 และ 2022

กัปตันวัย 35 ปียังเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ยิงประตูในรอบแบ่งกลุ่ม,รอบ 16 ทีม, 8 ทีม,รอบรองและรอบชิงในทัวร์นาเมนท์เดียว

เมสซี่ ยังขึ้นแท่นเป็นนักเตะที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุด 26 เกมแซงหน้า โลธาร์ มัทเธอุส (25) ที่ยืนยงมานานลงเรียบร้อย

ลูกยิงขึ้นนำ ฝรั่งเศส 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษของ เมสซี่ เป็นลูกที่ 100 ที่ยิงด้วย “เท้าขวา” ในอาชีพการค้าแข้ง

อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นหนที่ 3 (1978,1986 และ 2022) ยุติการรอคอยนานกว่า 36 ปีโดยมีเพียง อิตาลี ทีมเดียว ที่รอมานานกว่าจะกลับมาได้แชมป์โลกอีกหน (44 ปีจากปี 1938 ถึงปี 1982)

“ดาวรุ่งยอดเยี่ยม” เอ็นโซ่ แฟร์นานเดซ โดดเด่นเหนือใครในรอบชิงด้วยสถิติสุดเมพ สัมผัสบอล (118), จ่ายบอลสำเร็จ (77) และแท็คเกิ้ล (10) โดยแท็คเกิ้ล 10 หนที่ว่านี้มากที่สุดในฟุตบอลโลกรอบชิงนับตั้งแต่ กัตตูโซ่ เคยทำไว้เมื่อปี 2006 (15)

ฟุตบอลโลก 2022 มีการยิงกันมากถึง 172 ประตู เป็นสถิติใหม่ของทัวร์นาเมนท์นี้เหนือ 171 ประตูของปี 1998 และ 2014 เรียบร้อย

ลีโอนล สคาโลนี่ เป็นกุนซือคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าทั้งแชมป์บอลโลก (2022) และ โคป้า อเมริกา (2021) หลัง มาริโอ ซากาลโล่ (บอลโลก 1970, โคปา 1997) และ คาร์ลอส อัลแบร์โต่ ปาร์เรียร่า (บอลโลก 1994, โคปา 2004) เคยทำได้กับ บราซิล มาก่อนหน้านี้

คิลิอัน เอ็มบาปเป้ เป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ทำแฮทริคในรอบชิงฟุตบอลโลกหลังคนแรกอย่าง เจฟฟ์ เฮิร์สต หอกทีมชาติ อังกฤษ ทำไว้ในเกมชนะ เยอรมัน เมื่อปี 1966

นอกจากนี้ “นินจาเต่า” เป็นคนที่ยิงประตูในรอบชิงฟุตบอลโลกมากกว่านักเตะคนไหนๆ (4 ลูก)

เอ็มบาปเป้ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิง 2 ประตูเร็วที่สุดในรอบชิงชนะเลิศ (97 วินาที) นับตั้งแต่ “โด้อ้วน” เคยทำไว้เร็วสุดในรอบชิง บราซิล พบ เยอรมัน เมื่อปี 2002 ด้วยเวลา 12 นาที (67,79)

ปิดท้ายที่สถิตินี่คือฟุตบอลโลกรอบชิงหนแรกที่มีนักเตะจากทั้ง 2 ทีมยิงได้อย่างน้อย 2 ประตู (เมสซี่ 2, บัปเป้ 3)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด