เขากลับมาแล้ว “หงส์แดง” คนรักเก่า
ยกภูเขาออกจากอกทั้งนักเตะและกองเชียร์เมื่อ ลิเวอร์พูล รอมานานกว่า 1 เดือนครึ่งหรือตลอดทั้งปี 2023 กว่าจะปลดล็อกชนะนัดแรกในพรีเมียร์ลีก
พูดแบบไม่อายเลยว่าตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมคอยแอบชำเลืองแต้มท้ายตารางว่าขยับไปถึงไหนแล้ว
ง่ายๆเลยคือกลัว “หงส์” ถูกกระชากหล่นไปเรื่อยๆโทษฐาน 4 นัดหลังเก็บได้แต้มเดียวด้วยฟอร์มของผู้เล่นทั้งทีมดร็อปจนไม่เหลือศักยภาพของทีมระดับลีกสูงสุดเลย
ความตรึงเครียดทั้งก่อนเกมและระหว่างเกมเป็นฟีลลิ่งที่ทนทุกข์ทรมาน กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด
ครั้งสุดท้ายที่สัมผัสกับความรู้สึกอะไรแบบนี้ย้อนไปก็นู่นเลยยุค รอย ฮอดจ์สัน
ดังนั้นการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมทช์ เกมที่ 242 จึงมีความหมายอย่างมากต่อเส้นทางนับจากนี้ของ ลิเวอร์พูล
ฌอน ไดซ์ ผู้ช่ำชองในการปราบทีมใหญ่และรู้วิธีการรับมือกับ “หงส์แดง” ดีที่สุดแสดงตัวตั้งแต่ก่อนแข่งแล้วว่าแม้จะไม่มี โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน กองหน้าร่างโย่งที่เจ็บ
แกก็เลือกที่จะใช้งาน เอลลิส ซิมมส์ กองหน้าวัย 22 ปีเจ้าของความสูง 191 ซม. ลงตัวจริงก่อนตัวเก๋าอย่าง นีล โมเปย์ เป็นการประกาศจัดหนักทั้งบอลไดเร็คและเน้นร่างกายปะทะ
ทั้งๆที่ ซิมมส์ ลงตัวจริงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคมปี 2021 ในยุคของ ราฟา เบนิเตซ แล้วก็ถูกปล่อยยืมไปเล่นให้ ซันเดอร์แลนด์
“ท๊อฟฟี่” ของ ไดซ์ เล่นงาน ลิเวอร์พูล ไม่ต่างจากวันที่เอาชนะ อาร์เซนอล รูปแบบการเล่นเข้าบอลพัวพัน, ตอดทำฟาว์ลเล็กๆน้อยๆให้เกมหยุด, สาดบอมบ์ให้หน้าแย่งกับกองหลัง
สะกดให้ผู้เล่น “หงส์” ทุกคนไม่มีเวลาทำอะไรกับบอล ต้องคอยหันหลังล้มลุกคลุกคลานแทบสร้างโอกาสในเขตโทษไม่ได้เลย
Hit and hope ของ เอฟเวอร์ตัน กินเวลาไปเรื่อยๆและอดทนรอคอยการมาของทั้งลูกเตะมุมและเซ็ตพีซที่ว่ากันว่านาที 36 เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ชัยชนะกลับฝั่งแทนที่จะเป็นทีมเยือนกลับกลายเป็นเจ้าบ้าน
นึกภาพไม่ออกจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ แอนฟิลด์ หาก ทาร์คอฟสกี้ ฮีโร่พังประตูชัย “ปืนใหญ่” ไม่แม่นเสาและเป็นประตูจากลูกหากิน “เตะมุม” จังหวะนี้
เพราะหลังจากนั้นนับตั้งแต่ ดาร์วิน นูนเญซ เก็บตกหน้าประตูตัวเองก่อนลากโซโล่จนกระทั่ง โม ซาลาห์ ยิงประตูใช้เวลา 12 วินาทีสวนกลับสายฟ้าแล่บ
เป็นการเคาเตอร์ที่อยากจะร้องไห้เพราะเป็นรูปแบบการเล่นที่สมบูรณ์แบบไม่ต่างจาก “หงส์แดง” ในยุค 3 ประสาน
ก่อนได้ประตู 1-0 เราอึดอัดกับวิธีการเล่นมิติเดียวของ “หนูน” ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงตัดเข้าในและยิงเน้นแรงโดยไม่คิดมองหาออปชั่นอื่น
วิธีแบบนี้ไม่สร้างความได้เปรียบ ถูกอ่านง่าย เล่นทั้งวันก็ยิงใครไม่ได้แน่ๆบวกกับความลนลานและดูไม่มั่นใจของทั้ง ซาลาห์ และ กัคโป ในยามได้บอลเป็นเหตุผลที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงได้แค่ลูกเดียวใน 4 เกมพรีเมียร์ลีกหลังสุด
จากปัญหาข้างต้นดังกล่าวผมจึงชอบลูกนี้ของ “หนูน” เป็นพิเศษคือลงทุนลงแรงลากตั้งแต่หน้าประตูตัวเองและใช้ความได้เปรียบที่แนวรับ “ท๊อฟฟี่” แตกรังลงมาไม่ทันปาดมาที่จุดนัดพบที่มีเพื่อนรอแย่งกันยิงถึง 3 คน
เช่นเดียวกับประตูที่ 2 ความรู้สึกเก่าๆของ “เกเก้นเพรส” หวนกลับมาในเกมนี้เมื่อ บายเซติซ/หนูน รุมแย่งบอลที่เส้นข้างในแดนตัวเองก่อนลงท้ายด้วยการขโมยซีนของ โรเบิร์ตสัน ควบบอลเรื่อยมาจนเป็น โม > TAA และ กัคโป แท็บอิน 2 หลาที่เสาไกล
หลังขึ้นนำ 2-0 ความเปลี่ยนแปลงที่เราสังเกตได้ทันทีทันใดคือนักเตะเจ้าถิ่นกล้าทำอะไรกับบอลมากขึ้นและดูน่ากลัวขึ้น
ชัดๆเลยคือ ซาลาห์ และ กัคโป คนแรกพิงบอล/คลึงบอลเริ่มเสียยากและเชื่อมเกมตามแบบฉบับ “โม” หลังก่อนหน้านี้จับลั่นเลี้ยงหลุดตีน ฯลฯ
ในขณะที่ กัคโป หรือที่ชาวโซเชี่ยลเรียกแกว่า “ลุงพล” (ผัวป้าแต๋น) พอยิงได้แกเริ่มจัดลีลาพลิกบอลและเล่นกับจังหวะหลอกกองหลังก่อนพาทัวร์ซึ่งเป็นภาพอันคุ้นเคยที่เราเห็นจากบอลโลกเมื่อปลายปีที่แล้ว
การมีแผนเดียวคือรับรอสวนของ เอฟเวอร์ตัน และวิธีการเล่นแบบ old fashion ของ ไดซ์ แม้กระทั่งตอนตามหลัง 2 ลูกยังไม่ยอมเพรสหนักๆเพื่อแย่งเอาบอลกลับมา
ซึ่งเรารู้ๆกันอยู่ว่า ลิเวอร์พูล จะออกอาการลนลานเมื่อคู่ต่อสู้เข้าบอลไวตั้งแต่แนวรับ พอลงเอยอีหรอบนี้เจ้าถิ่นยิ่งลูบปากเล่นง่ายรอแค่เสียงนกหวีด
“ท๊อฟฟี่” ถ้าตามหลังชาวบ้านเมื่อไหร่ก็ห่วงหมดเมื่อนั้นหลังครอง “แชมป์” ยิงน้อยสุดในลีกแค่ 16 ลูกและยิงไม่เคยเกิน 1 ประตูมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ชนะ พาเลซ 3-0)
ครับสัญญาณที่ทำให้ เดอะ ค็อป เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คือสิ่งดีๆทยอยเรียงคิวอย่างต่อเนื่องไม่ว่าการคัมแบ็คของ ดิโอโก้ โจต้า เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม
แม้เกมนี้แข้งทีมชาติ โปรตุเกส ไม่มีอะไรโดดเด่นและคงต้องใช้เวลาเคาะสนิมอีกหลายเกมแต่ที่แน่ๆนี่คือตัวความหวังของใครหลายๆคนจากสไตล์ striker เน้นยิงไม่เน้นหวือหวา
ความโดดเด่นเกมแล้วเกมเล่าของ เจ้าหนู บายเซติช ในวัยเพียง 18 ปีผันตัวเองเป็น “เดอะ แบก” และยึดตัวจริงถาวรชนิดชีวิตผกผันทั้งๆที่ต้นปียังอยู่ในฐานะตัวสำรอง “ฆ่าเวลา” อยู่เลย
รวมถึงการโผล่มาที่ม้านั่งสำรองของ เวอร์กิล ฟาน ไดจค์ และ หลุยส์ ดิอาซ ที่อาจกลับมาในเดือนหน้า
ด่ากันมาหลายนัดร่วมเดือนแต่วันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าขอปรบมือให้กับความทุ่มเทของนักเตะจนเราได้เห็น ลิเวอร์พูล คนรักเก่ากลับมาซักที…
สถิติ สถิติ สถิติ
เยอร์เก้น คล็อปป์ เก็บชัยชนะนัดที่ “250” ให้ ลิเวอร์พูล ในทุกรายการจากการคุมทีมนัดที่ 414 ถือว่าเก็บชัยครบ 250 เกมเร็วที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมของสโมสรทุกคน (เพลสลีส์ 448, แชงคลีย์ 472 และ วัตสัน 539)
โม ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะคนที่ 13 ที่มีส่วนกับ 100 ประตูในพรีเมียร์ลีกที่สนามเดิม (71 ประตู, 29 แอสซิสต์ ที่ แอนฟิลด์) และทำได้จากการลงเล่นเพียง 104 เกมโดยคนที่มีส่วนกับ 100 ประตูและเล่นน้อยกว่าอิยิปต์คิงมีเพียง อลัน เชียร์เรอร์ (74 เกมที่ อีวู้ด พาร์ค) และ เธียร์รี่ อองรี (92 ที่ ไฮบิวรี่)
ที่มา: soccersuck