“จ่าฝูง” พลิกผัน สิงห์โคม่า / ดูโอ “หงส์” ฮ็อตจัด
พรีเมียร์ลีกวันเสาร์นี้หลากหลายอารมณ์ตั้งแต่คู่แรกยันคู่สุดท้ายโดยเฉพาะ 2 ทีมล่าแชมป์อย่าง อาร์เซนอล และ แมนฯซิตี้ สถานการณ์พลิกผันในชั่วพริบตา
“ปืนใหญ่” กลับคืนจ่าฝูงในเกมบุกเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 4-2 ที่พูดได้ว่าเกมรับและกลางน่าจะหลวมที่สุดเกมนึงในซีซั่นนี้
การขาด โธมัส ปาเตย์ ในเกมกับ ซิตี้ กับ แอสตัน วิลล่า แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เกมนั้นลูกทีม มิเกล อาร์เตต้า ค่อนข้างระวังตัวช่วยกันไล่แต่ที่ วิลล่า ปาร์ค เห็นชัดเจนว่า จอร์จินโญ่ กับ แกรนิต ชาก้า ไม่มีใครเบรกเกมรุกของเจ้าถิ่นได้ดีเท่า ปาเตย์
ซินเชนโก้ เป็นนักเตะเบอร์ต้นๆที่เสียบอลยากมากกลับกลายเป็นต้นเหตุทำให้ถูก วิลล่า สวนโป้งเดียวโอกาสแรกเป็นประตูตั้งแต่นาทีที่ 5
แม้ ซาก้า ยิงประตูเต็มตีนเตี่ยตีเสมออีก 10 นาทีหลังจากนั้นแต่ลูกโดน 2-1 เห็นกันชัดเจนว่าเกมนี้กลางหละหลวมแค่ไหน
นักเตะ “ปืนใหญ่” ปล่อยให้ วิลล่า ตั้งเกมขึ้นมาในแดนตัวเองง่ายมากและ บูบาการ์ คามาร่า ค่อยๆพากลากขึ้นมาซึ่งจังหวะนี้ กาเบรียล ถึงกับยกมือโวยเพื่อนเนื่องจากเซนเตอร์ดันสูงขึ้นมาแล้วแต่ไม่มีใครช่วยเพรส
ข้อต้องห้ามของการดันไลน์แนวรับสูงคือกลาง/หน้าต้องเข้าพัวพัน หาไม่แล้วพื้นที่หลังบ้านจะเปิดพื้นที่เยอะมาก
คามาร่า คนที่ไม่มีใครเข้าชนคนนี้แหละครับที่เป็นคนจ่าย killer pass จนนำมาสู่ประตูของ คูตินโญ่ กินเวลาทั้งสิ้น 10 วินาทีโดยที่นักเตะทีมเยือนไม่มีใครโดนบอลเลย
ภาษากายของนักเตะ อาร์เซนอล หลังเสียลูกนี้ มองฟ้ายกมือยกไม้แบบเซ็งที่โดนง่ายมาก
“ปืนใหญ่” ถวายหัวบุกแหลกในครึ่งหลังและการเจาะเข้าทำในเขตโทษเป็นงานยากเมื่อ วิลล่า ลงไปยืนเป็นแผงเต็มไปหมด ถ้าเป็นเกมอื่นแววไม่ชนะค่อนข้างสูง
บังเอิญเกมนี้การยิงไกลทั้งของ ซินเชนโก้ และ จอร์จินโญ่ “กดติด” ทั้ง 2 ลูก เป็น 3 แต้มสำคัญที่ต่ออายุรอการกลับมาของ ปาร์เตย์ และ เชซุส ที่ใกล้ตบเท้าแล้วเร็วๆนี้
เพราะ เอ็นเคเทียห์ แสดงให้เราเห็นแล้วว่าไม่ใช่ผู้เล่นโป้งปิดบัญชีหรือมีแคแรคเตอร์ยิงประตูตัดสินชัย
ซึ่ง อาร์เซนอล ที่เห็นได้ว่าแกว่งๆกับความกดดันจากจำนวนเกมที่ลดน้อยลงจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่จบสกอร์เด็ดขาดเข้ามาช่วยซัพพอร์ตตรงนี้ด้วย
ครับเกมนี้สำคัญสำหรับ “ปืนใหญ่” มากเข้าไปอีกเมื่อคู่ 22.00 น. เกิดมหาวิปโยค “ผ้าป่าคว่ำ”
ใครเคยเล่นเกม FM ย่อมรู้สึกอารมณ์ของ แมนฯซิตี้ ที่ล้มทั้งยืนถูก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ตีเสมอก่อนหมดเวลา 6 นาทีในสถานการณ์ที่เรียกว่า “หมูในอวย”
ซิตี้ พับสนามขึงเกมแบบเหนือๆ ครองบอลมากกว่า 70% โอกาสยิง 23 ครั้งในขณะที่ “เจ้าป่า” มีแค่ 4 และเข้ากรอบหนเดียวเป็นประตู
โอกาสของลูกทีม เป๊ป ในครึ่งหลังไปเปิดพจนานุกรมเท่าที่จะหาคำได้เลยไม่ว่าจะ จ่อๆ, เหน่งๆ, เผาขน แม้กระทั่ง โฟลเด้น กับ ฮาลันด์ หลุดเดี่ยวไปคู่กันยังไม่ได้ยิง!!
ทุกลูกใครเห็นก็ว่าเข้า ลาปอร์ต ทะยานโขกคนเดียวไม่มีใครประกบแค่ 5 หลาแต่ดันไปตรงตัว นาบาส ทียืนอยู่เฉยๆ
นาที 67 ฮาลันด์ ยิงโล่งๆ 6 หลาชนคานตามไปซ้ำจ่อๆข้ามคาน ใครเชียร์ แมนฯซิตี้ ทำใจลำบากแน่นอนครับที่ทีมรักโดนตีเสมอชนิดที่ต้องโทษตัวเอง
กลายเป็นว่าการเอาชนะ อาร์เซนอล 3-1 เมื่อกลางสัปดาห์แทบไม่มีความหมายจากการทำแต้มหายไป 2 หล่นมาอยู่ที่ 2 และเตะมากกว่า 1 เกม
อย่างที่หลายคนพูดเอาไว้นะครับว่าซีซั่นนี้มี ฮาลันด์ ตัวจบสกอร์ที่ ซิตี้ หามานานแต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่า “แชมป์เก่า” ชนะยากขึ้นทำแต้มหล่นมากขึ้นทั้งๆที่ซีซั่นก่อนแช่งเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น
จากฟอร์มแกว่งๆของทั้ง 2 ทีมที่ออกแนวนัวเนียไม่ยอมทำแต้มหนีกันซักทีทำให้ แมนฯยูฯ ยังต้องชาเลนจ์ตัวเองเกมต่อเกมเพื่อรักษาระยะให้อยู่ในสายตา 6-7 แต้มอย่าเกินนี้
หมดจากสถานการณ์ทีมลุ้นแชมป์แต่ที่ลอนดอนตอนนี้ร้อนเป็นไฟจากการที่ เชลซี แพ้คาบ้านต่อ “บ๊วย” เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0
เป็นเกมที่ทำลายขวัญและกำลังใจแฟนบอลที่แทบไม่เหลือความเชื่อมั่นต่อ แกรห์ม พ็อตเตอร์ อีกแล้วครับ
เพราะเห็นกันเต็มตา พ็อตเตอร์ ไม่สามารถซักซ้อมตระเตียมทีมมาแก้ลำแท็คติกส์สุดโหดของ “นักบุญ” ได้เลย
กลายเป็นผู้มาเยือนเหนือกว่าด้วยวิธีเล่นที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากทีมอันดับสุดท้าย
High press ที่มาพร้อมกับความดุดัน นักเตะ เซาธ์ฯ เล่นราวกับว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
การเล่นแบบนี้ในบ้านอาจเป็นเรื่องปกติแต่ในฐานะทีมเยือน “สิงห์บลู” เสียหน้าอย่างรุนแรงเมื่อดูจากสภาพขุมกำลังที่ไม่ต่างจากดอกฟ้ากับหมาวัด
การวิ่งไล่บดทุกดอดทำให้นักเตะเทคนิคดีๆในแดนกลางไม่ว่าจะ โควาซิซ หรือ เอนโซ่ ถึงกับเล่นไม่ออก
นอกจากตำแหน่งต่อตำแหน่งเชื่อมกันไม่ได้แล้ว “แนวรับ” ออกอาการเป๋กับการโดนเพรส แค่ 3 นาทีเกือบแจกส้มให้เขาแล้ว
ในขณะที่หลายๆทีมเขาหลีกเลี่ยงการทำฟาว์ลหน้าเขตโทษระยะ 20-25 หลาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “นักบุญ” เพราะฟรีในสายตาของ เจมส์ วอร์ด เพราซ์ มันคือ “จุดโทษ”
เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ลืมตัวทำฟาว์ลช่วงนาทีบาป “ทดเจ็บ” ครึ่งแรกนำมาสู่หายนะในบั้นปลาย
บทคนจะแพ้ยิงยังไงก็ไม่เข้า ดูได้จากครึ่งหลัง “สิงห์บลู” ดูน่ากลัวขึ้นเมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิ่งลงมาแทน โฟฟาน่า
แต่โอกาสที่น่าจะได้ซักลูกไม่มาซักทีโดยเฉพาะนาที 70 ที่ ราฮีม เหน่งๆโดยที่ผู้รักษาประตูหลุดตำแหน่งแต่ถูก โรแมง เปอร์โรด์ เคลียร์บนเส้นเหลือเชื่อ
ก่อน kick off คู่นี้ผมได้ยินผู้บรรยายของทรูวิชั่นพูดขึ้นมาว่าถ้า เชลซี ไม่ชนะเกมนี้ก็แย่แล้ว
คือผมก็มองเหมือนทุกๆคนว่าถ้า เชลซี จะเริ่มปลดล็อกชัยชนะมันก็ควรเริ่มจากการเจอบ๊วยเกมนี้ หาไม่แล้วคุณจะไปชนะวันไหน
แต่ผมไม่กล้าพูดเหมือนที่ผู้บรรยายทรูมั่นใจเนื่องจากผมดูสถิติแล้ว “นักบุญ” ดูท่าจะชอบเกมนัดเยือนมากกว่า
กล่าวคือทำแต้มนอกบ้านได้มากกว่าในบ้านอยู่ที่ 9 แต้มจาก 11 นัด (ชนะ เชลซี เก็บไปแล้ว 12 ) ส่วนในบ้านชนะแค่ 1 จาก 11 เป็นทีมที่เล่นห่วยในบ้านที่สุด
ครับท้ายที่สุด เชลซี อยู่ในสภาวะ black out แพ้เป็นนัดที่ 8 ในฤดูกาลนี้และนอนแช่อยู่ที่ 10 ซึ่งเป็นอันดับที่ไกลสุดกู่เกินจะรับไหว
“เสี่ยท็อดด์” เซ็นเช็กไปกว่า 323 ล้านปอนด์เมื่อเดือนมกราคมเพื่อเดิมพันตั๋วไป UCL แต่ผลลัพท์ที่ได้มาหากนับตั้งแต่ มูดริค และ เอนโช่ เริ่มลงตัวจริงนัดแรกกับ ฟูแล่ม
พวกเขายังไม่ชนะ เสมอ 2 แพ้ 1 และในเวทียุโรปก็แพ้ โบุรสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาอีกด้วย
ทุกสายตาและคำก่นด่าเพ่งเล็งไปที่ พ็อตเตอร์ ฐานะผู้นำที่ต้องรับผิดชอบในการดึงเอาศักยภาพของนักเตะที่มีออกมาให้ได้แต่แฟน “สิงห์” มองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงสว่างใดๆ
คำถามที่น่าสนใจจากแฟนบอลคือ พ็อตเตอร์ ทำทีม ไบรท์ตัน ที่มีนักเตะดาดๆไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์แกะเพรสที่โหดกว่า “นักบุญ” ได้แต่ทำไมกับ เชลซี ถึงเละเทะขนาดนี้
สำหรับผมมองตรง พ็อตเตอร์ ใช้เวลาสร้าง “นกนางนวล” มาตั้งแต่ปี 2019 และเพิ่งมาได้น้ำได้เนื้อเอาในช่วง 2 ปีหลัง การซื้อนักเตะใช้วิธีสะสมค่อยๆให้กลืนกับระบบโดยอยู่ภายใต้ระดับทีมที่ไม่ได้ไขว้คว้าหาความสำเร็จใดๆนอกจากอยู่รอดในลีกซึ่งความกดดันและสิ่งที่แบกอยู่บนหลังของทั้งกุนซือ/ผู้เล่นย่อมแตกต่างกัน
สถานการณ์ของ “สิงห์บลู” น่าติดตามเอามากๆครับเพราะแว่วมาว่าบอร์ดยังหนุนหลัง พ็อตเตอร์ อยู่แต่ถ้าผลงานไม่กระเตื้อง “เสี่ยท็อดด์” จะอดทนได้ซักกี่น้ำเพราะตอนนี้แฟนบอลเขาไม่ไหวกันแล้ว
ปิดท้ายที่คู่ 00.30 น. ระหว่าง นิวคาสเซิ่ล และ ลิเวอร์พูล เป็นบอลที่แฟนๆไม่ได้คาดหวังอะไรเยอะขอแค่ไม่เป็นซากศพกลับ เมอร์ซีย์ไซด์ ทุกคนยินดีหมด
ชัยชนะที่ล้ำค่าและเกินคาดของ “หงส์แดง” เกิดจากปัจจัยที่ “คลิก” พร้อมกันในช่วงเวลา 22 นาทีของครึ่งแรก
1. โชคดีมากที่เหตุการณ์ “รูทีน” คือเสียประตูเร็วไม่เกิดขึ้นในเกมนี้ แนวรับปล่อยให้ อเมรอน หลุดไปล่อเป้าก่อนที่ อลิสซอน จะช่วยชีวิตตั้งแต่ยังไม่ถึง 4 นาทีดี
2. โอกาสแรกเป็นประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นการจบสกอร์ที่โหดสัสซึ่งปกติ “หงส์แดง” จะเป็นฝ่ายเริ่มเผาโอกาสให้แฟนบอลกุมหัวร้องระงมทุกนัด (ก่อนโดนคู่ต่อสู้ยิงนำง่ายๆ)
3. หลังจากนั้น 7 นาที กัคโป ต่อยอด “หนูน” ยิงประตูที่ 2 ซึ่งหากมองในแง่ที่ว่า นิวคาสเซิ่ล มีเกมรับที่ดีที่สุดในลีก (เสียแค่ 13 ประตูก่อนลงเล่นเกมนี้) นี่เป็น 2 ประตูที่เสียงายผิดวิสัยสุดๆ
4. นิค โป๊ป โดนใบแดงจากการออกมานอกเขตจะโหม่งเคลียร์แต่กะจังหวะผิดเลยลืมตัวเอามือคว้าบอล
เป็นความเสียหายของ “สาลิกา” อย่างใหญ่หลวงเพราะตาม 2-0 เหลือ 10 ตัวตั้งแต่นาที 21 หรือร่วม 70 นาที
ที่สำคัญหมดสิทธิ์ลงเฝ้าเสารอบชิง คาราบาว คัพ ที่ทูนอาร์มี่รอคอยโทรฟีย์เมเจอร์แรกในรอบ 68 ปีหลังแชมป์สุดท้ายที่ได้คือ เอฟเอ คัพ เมื่อซีซั่น 1954/55
ครับน่าตลกที่ “หงส์แดง” ตัวผู้เล่นมากกว่าแต่กลับยิงเพิ่มไม่ได้และแนวรับแสดงให้เห็นเลยว่ายังมีปัญหาอยู่
การเหลือ 10 ตัวทำให้เกมรุกของเจ้าถิ่นเหลือน้อยลงคือแค่ แซงต์-มักซีแมง และ อิซาค โดย อัลมิร่อน ต้องไปช่วย cover เกมรับวิ่งขึ้นลงจนแทบหมดแรง
แต่แค่ 2 ตัว ในบางจังหวะ ลิเวอร์พูล ยังเอาไม่อยู่และถ้า อลิสซอน ไม่ช่วยเซฟลูกยิงนาที 82 ของ วิลสัน ตัวสำรอง เยอร์เก้น คล็อปป์ คงต้องรอคลีนชีตนอกบ้านเป็นหนแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนกันต่อไป
นึกภาพไม่ออกถ้าตัวเท่ากันจะต้านเอาไว้ได้ซักกี่น้ำ อีซาค อยู่ในเขตโทษคนเดียวแต่ โกเมซ กลับถลำประกบ “ลม” ปล่อยให้เขาได้บอลไปยิง น่าเกลียดสุดๆจังหวะนี้
“หงส์แดง” มีโอกาสที่จะขึ้นไปถึงที่ 7 ด้วยครับถ้าหลายๆจังหวะไม่ยิงนกตกปลากันไปเอง ขนาด แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หลุดไปเดี่ยวๆกับประตูยังจะส่งให้เสียของ
ตำหนินิดหน่อยเป็นพิธีบวงสรวงพอครับเพราะถือว่ามีเกมยุโรปกับ เรอัล มาดริด อยู่ นำ 2-0 ตัวมากกว่าหลายๆคนลดความเข้มข้นลงมาพอสมควร
JK เลือกโรเตชั่นส่ง โจต้า และ ฟีร์เมียโน่ ที่ยังต้องใช้เวลาเคาะสนิมอีกพักใหญ่ (ไม่ขอวิจารณ์ครับ) และหน่วยแบ็คอัพอย่าง มิลเนอร์ และ เอเลียตต์ เพื่อไว้จัดเต็มกลางสัปดาห์
การเก็บชัย (และคลีนชีต 2 นัดติด) รวมถึงตัวหลักทยอยกลับมาส่งผลทำให้สถานการณ์ในลีกของ “หงส์แดง” ดูดีขึ้นเยอะมาก
เกมนี้ตัดแต้มไปกลับ นิวคาสเซิ่ล ทีมอันดับ 4 จนบีบเข้ามา 6 แต้มกับอีก 1 เกมในมือ เป็นตัวเลขที่สัปดาห์ก่อนยังไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ
กัคโป และ นูนเญซ เริ่ม impact ต่อทีมไม่ใช่แค่ฟอร์มการเล่นแต่มีส่วนกับชัยชนะให้เห็นกันแล้ว
เม็ดเงินที่ลงทุนไปอาจจะช้าไปนิดแต่ก็ยังดีกว่าไม่มาเลย อีก 3 เดือนลุ้นกันยาวๆครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
ชัยชนะที่ เซนต์เจมส์ พาร์ค ของ ลิเวอร์พูล เป็นชัยชนะสกอร์ 2-0 เกมที่ 1,500 ในพรีเมียร์ลีก เป็นสกอร์ยอดฮิตอันดับ 3 โดยอันดับ 1 คือ 1-0 อยู่ที่ 2,136 เกมและ 2-1 อยู่ที่ 1,779 เกม
มีเพียง เดวิด เบ็คแฮม (18) เท่านั้นที่ยิงไดเร็คฟรีคิกในพรีเมียร์ลีกมากกว่า เจมส์ วอร์ด เพราส์ (17) โดยไดเร็คฟรีคิก 8 ลูกหลังสุดของกัปตันทีม เซาธ์แฮมป์ตัน มาจากเกมนัด “เยือน” ทั้งหมด
เซาธ์แฮมป์ตัน เอาชนะ เชลซี ไปกลับในลีกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 1987-88
“สิงห์บลู” แพ้คาบ้านต่อ “บ๊วย” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมษายน 2014 (แพ้ ซันเดอร์แลนด์ 2-1)
เชลซี แพ้ในลีก 3 จาก 6 เกมในบ้านหลังสุด (ที่เหลือชนะ 2 เสมอ 1) ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กว่าจะแพ้ 3 เกมในบ้านต้องเล่นมากถึง 25 เกม (ชนะ 13 เสอ 9)
“สิงห์” ใช้โอกาสในเกมกับ “นักบุญ” มากถึง 17 หน (เข้ากรอบ 5) เป็นการยิงที่ไร้ประตูมากที่สุดนับตั้งแต่พฤษภาคม 2021 ในเกมกับ อาร์เซนอล (19)
บูกาโย่ ซาก้า มีส่วนร่วมกับประตูโดยตรง 17 ประตูในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ (9 ประตู 8 แอสซิสต์) ตามหลัง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (30) และ แฮร์รี่ เคน (18)
อาร์เซนอล พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะคู่แข่งเกมเยือนจากสกอร์ตามหลังในช่วงพักครึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2009 (ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ที่แอนฟิลด์)
“ปืนใหญ่” แนวรับช่วงหลังมีปัญหาเพราะ 4 จาก 5 เกมหลังสุดในลีกโดนคู่แข่งยิงนำไปก่อนตลอดโดยก่อนหน้านั้น 18 เกมในลีกพวกเขาโดนยิงนำไปแค่ 3 เท่านั้น
โอเล็กซานเดร ซินเชสโก้ ยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกจากการลงเล่นเกมที่ 92 จากโอกาสสับไกมากถึง 74 ครั้งโดยเขาเป็นนักเตะคนที่ 13 ของ อาร์เซนอล ที่มีชื่อยิงประตูในซีซั่นนี้ นับว่ามากที่สุดในบรรดาทุกทีม (ไม่รวม og.)
“ปืนใหญ่” ยิงประตูนาทีที่ 90 นอกบ้านในพรีเมียร์ลีกหนแรกนับตั้งแต่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ คนเดิมยิงใส่ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2021
แอสตัน วิลล่า เสีย 4+ ประตูในบ้านติดต่อกันเป็นหนที่สุด 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรโดยหนสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1935-36
แบร์นาโด้ ซิลวา ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกให้ แมนฯซิตี้ เป็นลูกที่ 32 โดย 3 จาก 4 ลูกหลังสุดมาจากการยิงนอกเขตโทษทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยิงไกลแค่ 3 ลูกจาก 28 เกมเท่านั้น
แจ็ค กรีลิช มีส่วนร่วมกับ 6 ประตูในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่จบบอลโลก (ยิง 2 จ่าย 4) โดยก่อนบอลโลกอดีตกัปตัน แอสตัน วิลล่า ยิงได้แค่ 1 และ 0 แอสซิสต์ตลอด 8 เกมในพรีเมียร์ลีก
มอร์แกน กิบส์ ไวท์ แอสซิสต์ไปแล้ว 5 ประตูในซีซั่นนี้มากกว่าเพื่อนร่วมทีมถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ที่มา: soccersuck