ผีเน่ากับโลงผุแต่มีทีมเน่ากว่า
งานเขียนของผมที่ตลอดมาก็ไม่ได้ดีเด่เหมือนคนอื่นเขาแต่วันนี้ขออนุญาตมาไวไปไวตามคุณภาพดาดๆระหว่างคู่ชวนง่วง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล
ผลเสมอ 0-0 นับเป็น goalless หนที่ 4 ติดต่อกันในทุกรายการโดยหนสุดท้ายที่ยิงกันได้คือเสมอ 2-2 เมื่อปี 2022
เพียงแต่หนนี้เป็นบอลที่ดาว์นเกรดลงมาฮวบๆ ความว้าวจากนักกีฬาอาชีพที่เราชาวบ้านธรรมดาทำไม่ได้แต่งัวเงียตื่นมาดูในวันนี้
สรุปไม่มีอะไรเลย เป็นบอลก๋องแก๋งเลื่อนลอยหาแก่นสารใดๆไม่ได้เลย
ในขณะที่เรากำลังไล่นวดความห่วยของเกมนี้จากทั้ง 2 ทีมแต่มันจะเลวร้ายสุดขั้วจากอีกทีมแค่ไหนหากเราบอกในความกากนั้น “สิงห์บลู” เป็นฝ่ายที่ปล่อยให้ 3 แต้มหลุดลอยประเดิมเกมแรกที่ไม่มี แกรห์ม พ็อตเตอร์
เจ้าถิ่นไฟเขียวผ่านตลอดในครึ่งแรก ผมหมายถึงการทะลวงจากกลางสนามขึ้นมาอร่อยเหาะครับ
ผมไม่เห็นนักเตะ “หงส์แดง” คนไหนตลอดทั้งเกมสามารถสกัดแย่งบอลคืนมาจากฝั่ง เชลซี ในรูปแบบวิ่งกวด
โดนแทงโดนกระชากคือหลุดวิ่งลิ้นห้อยตามหลัง แม้กระทั่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เจ็บไปตั้งแต่เกมที่ 2 ของฤดูกาลหรือร่วม 7 เดือน
แต่แข้ง “น้ำหอม” วัย 32 ปีกลับดูฟิตกว่าผู้เล่น “หงส์” ทุกคนโดยเฉพาะ ชิมิกาส โดนใครกระชากคือหลุดยาว
การที่คุณไร้จุดแกร่งในการ turnover บอลเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ
ลิเวอร์พูล จะได้บอลกลับมาครอบครองต้องรอให้ เชลซี จ่ายเสียเองหรือไม่ก็ได้โอกาสสับยิง
ผมเห็นกราฟฟิคโชว์สถิติอันน่าสยองและสมเพชสุดๆคือผ่านไป 29 นาทีกับอีก 40 กว่าวินาที
ปรากฏ “สิงห์” ได้บอลในเขตโทษทีมเยือนมากถึง 12 ครั้งและแน่นอน ลิเวอร์พูล เป็น 0
กว่าจะมีโอกาสยิงหนแรกปาเข้าไปนาทีสุดท้ายจาก ดาร์วิน นูนเญซ
นี่คือมาตรฐานการเล่นนอกบ้านของ “หงส์แดง” ที่วันนี้ยิ่งกาวหนักเมื่อ JK ปรับเปลี่ยนผู้เล่นราวๆ 5-6 ตำแหน่ง
ตัวหลักยังออกทะเล พวกสำรองไม่ต้องพูดถึง นอกจาก ชิมิกาส ที่หมดสภาพแล้ว ค. โจนส์ ยังยึดมั่นการเล่น “ดีเลย์” เน้นดึงช้าไม่เอาประสิทธิภาพ มีดีอย่างดีคือเป็น HG
ครับการจะเจาะเกมรับของลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ต้องซับซ้อนให้เสียเวลาแค่วางยาวจากแดน เชลซี ก็หลุดแล้ว
นี่ยังไม่นับรวมลูกเกร็งตีนจากผู้ชมทางบ้านไม่ว่าจะคืนหลัง, จ่ายบอลเบสิกง่ายๆหรือเสียบอลระหว่างทาง ต้องช่วยภาวนาเอาใจช่วยกันขนาดนั้นเลย
ลูกที่ VAR ริบประตูของ ไค ก็เป็น โกนาเต้ ที่ไปจ่ายยัดให้เพื่อนที่รู้ก็รู้อยู่โดนรุมรายล้อม ชั่วโมงนี้ฝีเท้าจะไปเอาตัวอดใครได้ที่ไหน แค่ถ่ายออกปีกด้านข้างก็ขึ้นเกมปลอดภัยแล้ว
ต้นเกมขึ้นไปถึงแดน “สิงห์” อยู่ดีๆ ซิมิกาส จ่ายคืนหลังเจ้าตีน เฟลิกซ์ โดนสวนเกือบพังซะงั้น นี่คือการเล่นที่เราเห็นจากทีมระดับล่างและยังเป็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน
2 ประตูที่ถูก VAR ริบถือว่าสวรรค์ยังเมตตาจากการล้ำหน้าแค่เข่าของ เอนโซ่ หรือลูกหลุดเดี่ยวเป็นประตูของ ไค ฮาแวรสต์ ที่บอลกระเด้งมาถูกแขน
จะบอกว่า ลิเวอร์พูล โชคดีจากจังหวะพวกนี้ก็ส่วนหนึ่งแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจบสกอร์ที่ยังเป็นมะเร็งร่ายของพลพรรค “สิงห์สำอาง”, “สิงห์บลู” และ “สิงห์ไฮโซ” อยู่เช่นเดิม
การยิงนกตกปลา ไม่มีตัวค่าพลัง finishing ทำให้จำนวนโอกาส 11 หนเข้ากรอบเพียงแค่ 3 หน
และต้องบอกว่าน่าเสียดายแทนจริงๆเพราะแม้ ลิเวอร์พูล เริ่มตอบโต้และได้บอลมากขึ้นในครึ่งหลังโดยเฉพาะหลัง “ไค” ถูกจับแฮนด์บอล
แต่โอกาสเป็นเนื้อเป็นหนังของเจ้าถิ่นในเกมนี้มันเพียงพอด้วยซ้ำที่จะต้องมีซักหนึ่งลูก
กำลังหลักของ เชลซี ทั้งวิงแบ็ค 2 ข้าง แดนกลางชื่อชั้นแข็งโป๊กแต่ติดที่ตัวจบสกอร์ที่ทั้ง เฟลิกซ์ และ ฮาแวร์ตส์ ยังไม่มีใครอาสากู้วิกฤิติให้สโมสรได้เลย
สำหรับ “หงส์แดง” กลายสภาพเป็นทีมระดับ average ไม่ว่าจะรูปแบบการเล่น วิธีเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ความนิ่งและความรอบจัดความเก๋า ณ ยามนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว
สังเกตครับตอนนี้เจอกับใครโดนเพรสสูงเกือบหมดเพราะเขาไม่กลัวแล้วแถมทุกทีมเชื่อว่าแนวรับหรือแม้กระทั่งกลาง “หงส์” จะตีนลั่นลนลานเสียบอลให้แน่นอน
ดังนั้นผมมองว่า JK โล่งโคตรๆที่เสมอในเกมนี้ หลักฐานดูได้จากการถามเวลาผู้ตัดสินที่ 4 ตอนช่วงทดเจ็บที่เหลืออีก 1-2 นาทีซึ่งเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้จากบอส
หรือภาพที่ไม่น่าตกใจคือการที่ อลิสซอน ด่ากลับ “กัปตัน” จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่บ่นไร้เหตุผลบ่นไม่ดูเลยว่าชั่วโมงนี้ใครแบกทีม ไปหาดูคลิปได้ “พ่อหมี” คำรามซะอาแปะเป็นคนดีย์ขึ้นมาเลย
คนที่เล่นดีและควรได้โอกาสต่อกลายเป็น โจ โกเมซ ที่แม้ลูกคืนหลังหากินสร้างความเสียวให้เห็นอยู่บ้างแต่เกมรับดีกว่า TAA มาก ไม่มีโดนกระชากดมก้นอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ
ครับในมุมมองผม เชลซี มีแค่เกมรุกการจบสกอร์ ถ้าแก้ปัญหาตรงนี้ได้เครื่องติดนะครับ ผมไม่เชื่อว่านักเตะชื่อชั้นแข็งโป๊กแทบจะเดินชนกันตายจะเข็นไม่ขึ้นยันจบฤดูกาล
ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล ยามออกนอกบ้านเสียงเชียร์จาก เดอะ ค็อป มันเร้าใจไม่พอ ต้อง แอนฟิลด์ ถึงวิ่งลืมตาย เปิดหน้าโดยหารู้ไม่ว่าคางตัวเองเปราะแค่ไหน
ตัวผู้นำอย่าง JK เห็นยังให้สัมภาษณ์ทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่รู้สภาพเด็กๆของตัวเอง
อันนี้แหละที่เตรียมพัง ถ้ายังยึดหลักสนุ๊กเกอร์ “สู้ตายดีกว่ากันตาย”…
สถิติ สถิติ สถิติ
ผลเสมอ 0-0 ของ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติเป็นอันดับ 3 ที่ยิงประตูไม่ได้ในการเจอกัน 4 หนติดต่อกันหลังก่อนหน้านั้นเป็น เอฟเวอร์ตัน – ลิเวอร์พูล (1974-75) และ อาร์เซนอล – QPR (1992-94)
เชลซี ยิงประตูในครึ่งแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้เลยใน 8 เกมลีกหลังสุด กลายเป็นควงแขนร่วมสถิติกับทีมในยุคระหว่างปี 1992-1993 เรียบร้อยแล้ว
“สิงห์บลู” ยิงได้แค่ 29 ประตูจาก 29 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้โดยตัวเลขดูไม่จืดนี้ทำให้ขึ้นทำเนียบอันดับ 3 ของสโมสรเรียบร้อยแล้ว (จากการลงเล่น 29 นัด) โดย 2 หนก่อนหน้านี้เกิดขึ้นมาร่วม 100 ปีทั้ง 1921-22 ยิงได้ 23 ประตูและ 1923-24 ยิงได้ 16
หลังลงสนามในเกมนี้ทำให้ เจมส์ มิลเนอร์ ครองสถิติลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยที่ 1 แกเรธ เบล 653 นัด, ไรอัน กิกส์ 632 นัด และ “ท่านรอง” 610 นัด แซงหน้า แฟร็งค์ แลมพาร์ด 609 นัด
ที่มา: soccersuck