“เจ้าที่” เขามาทวงแล้ว หงส์มีหวังเล็กๆ

“เจ้าที่” เขามาทวงแล้ว หงส์มีหวังเล็กๆ

ต้องบอกว่าในช่วงที่ อาร์เซนอล กำลังท็อปฟอร์มห้าวจัดเรายังไม่แน่ใจเลยว่าจะรับมือกับ แมนฯซิตี้ ได้ถึงระดับไหน

นับประสาอะไรกับนักเตะพากันลูกศร “หัวตก” เสมอมา 3 นัดรวดจนกระทั่งถูก “เรือใบ” ประเคนอิ่มๆจุกๆเมื่อคืนนี้ 4-1

เส้นทาง “ตัวตึง” ของ เป๊ป กวาดิโอล่า ในฤดูกาลนี้ไม่ซับซ้อนอีกต่อไปแล้วครับ

จากการที่ลดระยะเข้ามาเหลือ 2 แต้มแต่เตะน้อยกว่าถึง 2 นัดแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปีหลังสุดอยู่แค่เอื้อม

ขี้หมูขี้หมาแพ้นัดชนะนัดก็ยังแซง อยู่ที่ว่าจะวันไหนเกมตอนไหนอย่างเดียวแล้วครับ

ในขณะที่ความหวังรอแช่งให้ทีมอื่นช่วยนั้นบอกได้ว่าในยุคนี้ “เรือใบ” เป็นทีมอีดิท พลิกยากฉิบหายครับ (ยกเว้นจะเตะกับ คริสตัล พาเลซ ทุกสัปดาห์)

วันวิปโยคอย่างเกมหมูหกที่เสมอ ฟอเรสต์ 1-1 แทบจะเป็น 1 ในร้อยไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำอีกได้เลย

วันนั้น “เจ้าป่า” ยิงเข้ากรอบหนเดียวเป็นประตู (จากโอกาส 4 หนทั้งเกม) ในขณะที่ แมนฯซิตี้ มีโอกาสมากถึง 23 หนแต่เข้ากรอบ 6 และได้ลูกเดียว

การเข้าเบรกช่วงท้ายฤดูกาลเป็นขนมกรุบกรอบของ ซิตี้ เขาเลยครับ 10 นัด+ เคยทำมาแล้วดังนั้นแค่ 7 นัดสุดท้ายที่เหลือกับทรงบอลโหดๆเช่นนี้ดูไม่ออกเลยว่าจะไปพลาดจังๆนัดไหน

มิเกล อาร์เตต้า พยายามเต็มที่แล้วครับแต่ดันเจอบอสตัวโหดแค่ 2 คนอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิ่้ง ฮาลันด์ เล่นงานกลางกับแนวรับป่วนยกแผง

เราจะเห็นได้ว่าความหนาความใหญ่ของ ฮาลันด์ เบิกทางประตูแรกอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 7

ลูกนี้ฉีกแนวการเล่นของเจ้าถิ่นที่มองดีๆเป็นความตั้งใจฉวยโอกาส

สโตน ได้บอลในพื้นที่เส้นหลังและมีผู้เล่น อาร์เซนอล วิ่งเข้ามาเพรส 2 คนซึ่งเราเห็นกันบ่อยๆเสมือนเป็นลูกหากินของ ซิตี้

เพลย์ต่อไปควรจะไปลงเอยที่ วอล์กเกอร์ ซึ่งถ่างมายืนรอรับอยู่แล้วโดยมีผู้เล่นทีมเยือนอีกคนกำลังเข้ามาเพรสซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 10 หลา

แต่ สโตน เหลือบมองก่อนจุดพลุสไตล์ วิมเบิลดัน มาที่กลางสนาม

ความเป็น ฮาลันด์ เอาบอลลงชนิดอ่อนโยนกับจุดซ่อนเร้น

เทคนิคการเอาบอลลงผมว่านักเตะอาชีพระดับนี้มันไม่ยากแต่ที่ยากคือต้องเบียดสู้กับกองหลังซึ่งในที่นี้ ร็อบ โฮลดิ้ง เสียเหลี่ยมเข้าไม่ถึง

เซนส์บอลและความเข้าใจของ KDB กับ ฮาลันด์ ประมวลผลเร็วจัดประมาณชิพ m2

Step ต่อไปที่ยากกว่าคือความคมของ เดอ บรอยน์ ที่รู้ว่าหากลากบอลไปอีกซัก 4-5 หลาสปีดน่าจะสู้กองหลัง “ปืนใหญ่” ไม่ไหว

การตัดสินใจยิงจากนอกเขตโทษทั้งเลียด/แรงและเบียดเสาเป็นประตูระดับโลกที่มาจากการเล่นแค่ 3 จังหวะ

นักเตะเก่งๆบางคนเทพในเกมทั่วไปบางคนรวบยอดเกมใหญ่เข้าไปด้วยแต่สำหรับ เดอ บรอยน์ เขาคือ big game player ตัวจริงเสียงจริงเสมอมา

ประตูนี้ประตูเดียว+กับการพยายามเพรสแล้วหลุดของ “ปืนใหญ่” ทำให้ลูกทีมของ อาร์เตต้า เริ่มกลัวโดนสวนและลดระดับลงมา

ตรงนี้เองที่ ซิตี้ ครองบอลส่งไปมาเพื่อล่อให้นักเตะ “ปืนใหญ่” เข้ามาแย่งซึ่งเป็นการเปิด space ตามจุดต่างๆไปโดยปริยาย ไม่อยากเพรสก็ไม่ได้ บอลตามหลังไปแล้ว

อาร์เซนอล เกือบมีความหวังกับการแบกสกอร์ 1-0 กลับเข้าห้องแต่งตัวหลังรอดตายไปหลายต่อหลายหน

แน่นอนครับลูกโขกช่วงทดเจ็บ 45+2 ของ สโตน ที่ต้องให้ VAR เข้ามาตัดสินแทบทำให้ อาร์เซนอล เลิกคิดถึงการกลับมาทันที

ช่วงขาลงความมั่นใจสมาธิอะไรก็ดูแย่ไปหมดครับ อย่างประตู 3-0 โอเดการ์ด ที่เคยบัญชาเกมอยู่ดีๆส่งบอลไปให้ KDB ดื้อๆจนนำมาสู่การเข้ารหัสสังหาร

และความหอมฟุ้งยิ่งขึ้นไปอีกคือการยิงประตูปิดท้ายที่ทำให้ ฮาลันด์ ทำสถิติยิงประตูสูงสุดต่อ 1 ฤดูกาลไปแล้วที่ 33 ประตูแซงหน้า โม ซาลาห์ ที่ทำไว้ 32 ประตูเมื่อฤดูกาล 2017-18 (นับเฉพาะฤดูกาลที่เล่น 38 เกม)

ครับ เห็นได้ชัดว่า “ปืนใหญ่” ตกเป็นเหยื่อของความกดดันกับการอยู่บนที่สูงนานๆในช่วงโค้งสุดท้าย

ผมเองเคยเก่งหลังเกมคิดว่า อาร์เซนอล ชุดยังเติร์กที่เต็มไปด้วยความห้าวจะรักษาโมเมนตั้มค่อยๆเก็บแต้มทิ้งห่างจนนำมาสู่ชื่อคอลัมน์ “กรี๊ดมันออกมา”

สมมุติว่าโอเคทุกอย่างเป็นไปตามสคริปต์คือ ซิตี้ เก็บชัยรัวๆเข้าป้ายคว้าแชมป์

ความท้าทายที่อาจจะยากกว่าการพุ่งพรวดขึ้นมาชนิดเกินคาดในปีนี้คือ อาร์เตต้า จะทำอย่างไรกับฤดูกาลหน้าในเมื่อมาตรฐานที่ตั้งมาสูงเหลือเกิน

ตัวแปรที่ต้องคำนวณเพิ่มขึ้นมาคือ เชลซี, ลิเวอร์พูล และ แมนฯยูฯ ที่ร่วมใจกันปล่อยจอยเตรียมผ่าตัดคัมแบ็คมาร่วมโต๊ะจีนรวมถึง นิวคาสเซิ่ล ที่ผันตัวเองมาแย่งโควต้า top 4 แบบจริงจังเรียบร้อยแล้ว

ครับนั่นคือปัญหาของทีมอื่นๆที่พยายามไล่ตามพัฒนาการของ ซิตี้ ที่นอกจากสูงขึ้นแล้วนายหัวขยันสรรหาลูกเล่นใหม่ๆอัพ patch ให้ทีมตัวเองอยู่เสมอ

การนั่งดู แมนฯซิตี้ มันมีลูก “ว้าว” , “ฮู้ว์” เยอะแยะเต็มไปหมด ต่างจากหลายๆทีมที่เราตามด่าจนไมเกรนขึ้นสมอง

มันบอกเราได้อย่างนึงว่าต่อให้คู่แข่งแย่งแชมป์ในแต่ละซีซั่นเปลี่ยนหน้าไปมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

“เรือใบ” ของ เป๊ป ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาท “ผู้ถูกล่า” หรือ “นักล่า” ความเหี้ยมโหดไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่นิดเดียว…

เวสต์แฮม 1-2 ลิเวอร์พูล

ก็ว่าจะไม่แล้วนะแต่ในเมื่อดู 2 จอพร้อมกันผมขอสั้นๆกับชัยชนะ 3 นัดติตด่อกันของ ลิเวอร์พูล ที่ทำให้ตอนนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6 แล้ว

คือเกมนี้ถ้าไม่มี 3 แต้มออกจากลอนดอน สเตเดียม ผมว่าทั้งนักเตะและ เยอร์เก้น คล็อปป์ นอนไม่หลับแน่ๆ

ด้วยวิธีการเล่นของ เวสต์แฮม การเอาชนะแค่ 2-1 บอกเลยว่ายังมีเคือง “ขุนค้อน” ไม่มีอะไรเลยจริงๆ

ลูกทีมของ เดวิด มอยส์ เลือกเล่นตามแผนมากกว่าเอาใจแฟนบอลที่นั่งดูเงียบกริบหลังเห็นทีมตัวเองรับทั้งทีมจนถูก “หงส์แดง” ครองบอลส่งไปมา

แถมไล่บอลหยองแหยงไม่ดุดันโดยแอบหวังเพียงแค่ว่านักเตะทีมเยือนจะจ่ายพลาดกันเองแล้วค่อยฉกฉวยโอกาสตามหน้างาน

ได้ผลดิ่ครับลูก 1-0 ที่มาแบบงงๆหลังตั้งรับอยู่ดีๆ ต้องบอกว่ากลางของ ลิเวอร์พูล ทั้ง ฟาบินโญ่ และ เฮนเดอร์สัน ปล่อยให้เขาทำชิ่งกันง่ายๆแค่ 2 คนหลุดก่อนเป็นประตูสุดสวยของ ลูคัส ปาเกต้า

ถามว่าให้เครดิตคนยิงไหม ก็ให้สิครับยิงหยดย้อยขนาดนั้นแต่ความโรยราของมิดฟิลด์ควรเบียดหรือถูไถเพื่อไม่ให้ทางมันสะดวกแบบนั้น

นี่จึงเป็นสิ่งที่ เดอะ ค็อป ตื่นเต้นอยากเห็นโฉมใหม่ของทีมหาก JK ผ่าตัดในซัมเมอร์นี้ที่บทสัมภาษณ์ล่าสุดบอกพยายามจะปิดดีลหลักๆให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ฟุตบอลถ้าทีมๆนึงยกระดับมาตรฐานการเล่นขึ้นมาพร้อมๆกันถ้าใครตามไม่ทันเพื่อนคนๆนั้นจะกลายเป็น “แกะดำ” โดดขึ้นมาชัดมาก

“หงส์แดง” เล่นเป็นทรงขึ้นใน 2-3 นัดหลังสุดแต่ เฮนเดอร์สัน กลับถดถอยตามเพื่อนไม่ทันแล้วครับ

ฟาบินโญ่ ที่พวกเราบ่นกันยังเริ่มจับจังหวะมีตัดบอลเสียบอลนับครั้งได้

แต่ เฮนโด้ พละกำลังหายไปเลย ทำได้แต่จ่ายบอลพื้นๆ เลยตัวนิดหน่อยตามไม่ทันแล้ว ก้าวเท้าเอาบอลเหมือนคนจะขาดใจ

การเปลี่ยนเอา ธิอาโก้ ลงมาแทน เฮนโด้ มีได้มีเสีย คือ “ตะโก้” พยายามเล่นเสี่ยงเก็บบอลไว้กับตัวทำเสียเองเห็นๆ 2 จังหวะ ข้อดีคือจ่ายบอลมีมิติและทะลุมากกว่า หวือหวามากกว่า

รูปเกมโดยรวมต้องบอกว่าคู่ต่อสู้เล่นรับลึกมันหาพื้นที่ยากครับแต่ใช่ว่าจะไม่มี โชต้า เผาโอกาสทิ้งไปเยอะในครึ่งแรกเช่นเดียวกับ ซาลาห์ ที่วันนี้กลับมาล่กเหมือนเดิม

จุดน่าสนใจมากๆคือการขาด โกนาเต้ ที่ไม่ฟิตและให้ มาติป มาเล่นแทนทำให้ตัว cover เทรนต์ แน่นอนขาดสปีดไปเยอะเลย

แต่อย่างที่บอกโชคดีที่ “ขุนค้อน” ใช้วิธีรับลึกรอสวนทำให้เวลาได้ขึ้นมาต้องรอเพื่อน ไม่มีนักเตะประเภทโซโล่ข้ามาคนเดียวฉีกทั้งแผง

ปาเกต้า ที่ยิงประตูและดูวูบวาบก็หายไปจากเกมตั้งแต่ถูก กัคโป ตีเสมออย่างรวดเร็ว 6 นาทีต่อมา

ถ้า มาติป ไม่ช่วยชีวิตโขกลูกเตะมุมคว้าชัย นี่จะเป็นอีกเกมที่เสียหายหลายแสนสำหรับ “หงส์แดง” เพราะนี่คือ “ขุนค้อน” ที่อ่อนที่สุดในรอบหลายปี

ความมหัศจรรย์ของ อันโตนิโอ+โบเว่น หากินไม่ได้แบบเก่าแล้ว

ในขณะที่การเล่นของ TAA ยังเป็นที่ถูกพูดถึงอยู่แต่ผมขอไม่แตะเรื่องความเนียนตาในการคุมจังหวะบอลและเคาะบอลสั้นหรือวิชั่นการเป็นมิดฟิลด์น้องมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

แต่ที่ต้องพูดคือ เทรนต์ ไม่ได้ทิ้งเกมรับและดูเหมือนจะอ่านเกมดีขึ้นเยอะเลย

2 จังหวะที่สำคัญมากในครึ่งแรก TAA ช่วยชีวิต ถ้าจำไม่ผิดช่วงต้นเกมที่ “หงส์” บุกขึ้นมาถึงเขตโทษแต่โดนตัดกำลังถูกสวน

ตอนนั้นกลางหลุดตำแหน่งแล้วและ ดีแคลน ไรซ์ กำลังแตะกระชากหนี เทรนต์ จังหวะนี้หลุดคือเตรียมแทงให้พวกจี๊ดๆล่อเป้าแน่แต่ TAA อ่านทาง ไรซ์ ตัดบอลช่วยชีวิตเอาไว้ได้

ส่วนอีกจังหวะ “หงส์” เข้าพรวด 3 คนโดนสวนกลับ แบ็คเอย, เซนเตอร์เอยหลุดตำแหน่งผิดที่ผิดทาง บอลที่กำลังถูกไหลเข้าเขตโทษให้ เบนราห์มา รอยิงเหน่งๆแต่ เทรนต์ ตัวสุดท้ายวิ่งมาตัดได้เหลือเชื่อ

เหตุการณ์เสียวเล็กน้อยของฝั่งทีมเยือนคือการที่ ธิอาโก้ แฮนด์บอลในเขตโทษช่วงท้ายเกม

เป็นการล้มตัวแย่งบอลแล้วบอลกระเด้งมาถูกแขนซึ่งจังหวะนี้เองที่ทาง “ขุนค้อน” ติดใจโดยเฉพาะ เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมเดินปรี่มาโวยกับผู้ตัดสินหลังจบเกม

นอกจากลูกนี้ บางจังหวะผู้เล่นเจ้าถิ่นเริ่มมองหาทางลัดโวยวายเอาจุดโทษเวลาถูกสกัดในเขตโทษ

โชคดีผู้ตัดสิน คริส คาวานาฟ ที่ผมมองว่าแกอ่านเกมขาดก็เพราะ เวสต์แฮม รับทั้งเกมไม่มีฮือมีอืออะไรเลยทั้งเกมแต่มาหากินอะไรแบบนี้ ง่ายไป๊

ถึงตรงนี้หลายเสียงเริ่มอยากให้ JK ดัน เทรนต์ มาเล่นกลางเต็มตัวและหาแบ็คตัวใหม่ (ตามข่าวไม่ซื้อแต่ดันดาวรุ่งแทน)

การผ่าตัดซัมเมอร์นี้ของ ลิเวอร์พูล น่าติดตามเอามากๆครับเพราะผมเชื่อว่าการมาของมิดฟิลด์ 1-2 คนยกระดับทีมแตกต่างมองเห็นด้วยตาเปล่าแน่ๆ ปัญหามันจ้าซะเหลือเกิน

แม้ คล็อปป์ ออกตัวแล้วว่าไม่ได้หวังถึงโควต้าไป UCL แต่มองจากนอกโลกก็รู้ว่าหวังอยู่แต่ออกมาเบรกเพื่อลดความกดดันของลูกทีม

การเก็บชัย 3 นัดรวดทำให้ตอนนี้ขยับมาอยู่ที่ 6 ตาม นิวคาสเซิ่ล และ แมนฯยูฯ 6 แต้ม (เตะมากกว่านิว 1 นัด, มากกว่าผี 2 นัด)

ยิ่งโปรแกรมเป็นใจเตะใน แอนฟิลด์ 3 นัดรวดกับ สเปอร์ส,​ ฟูแล่ม และ เบรนท์ฟอร์ด ไม่อยากคิดก็อดไม่ได้จริงๆ

ถือว่ามีอะไรให้ลุ้นขำๆพร้อมกับบิลค่าไฟสิ้นเดือนนี้ละกันครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยิงไปแล้ว 33 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดุกาลนี้ นับเป็นสถิติใหม่เรียบร้อยแล้ว (นับเฉพาะที่ลงเตะ 38 เกม)

– 33 ประตู ฮาลันด์ (2022-23)

– 32 ประตู ซาลาห์ (2017-18)

– 31 ซัวเรซ (2013-14)

– 31 โรนัลโด้ (2007-08)

– 31 เชียร์เรอร์ (1995-96)

ฮาลันด์ มีส่วนร่วมกับประตูโดยตรง 57 ประตูจากการลงเล่น 43 เกมทุกรายการในฤดูกาลนี้ (49 ประตู 8 แอสซิสต์) ซึ่งมากกว่านักเตะคนอื่นๆใน 5 ลีกใหญ่ยุโรปถึง 15 ประตู ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของจอมมารบลูคือเขาจะยิงหรือจ่ายทุกๆ 58 นาทีที่ลงเล่นเลยทีเดียว

มีเพียง 5 นักเตะเท่านั้นที่ทำแอสซิสต์มากกว่า ฮาลันด์ ที่ทำได้ 7 หนในซีซั่นนี้ โดยรายชื่อที่ว่าคือ เดอ บรอยน์ (16), ซาก้า (11), ทรอสซาร์ (9), โรเบิร์ตสัน (8) และ โอลิเซ่ (8)

ตอนนี้ แมนฯซิตี้ ชนะเหนือ อาร์เซนอล ในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 12 นัดแล้วโดยประตูรวมกดถังขี้กระจาย 33-5

“ปืนใหญ่” เป็นทีมแรกที่ไร้ชัย 4 เกมติดในฐานะ “จ่าฝูง” โดยหนสุดท้ายก็เป็นพวกเขานี่เองที่ทำสถิตินี้ไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2008

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ทำแอสซิต์ไปแล้ว 5 ครั้งในเดือนนี้ เป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ทำแอสซิสต์ ต่อเดือนได้มากที่สุดไปแล้ว

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด