ยอมตกชั้นดีกว่าหงส์แชมป์ หรือวลีนี้จะเป็นจริง?

ทุกวันนี้รูทีนประจำที่ผมทำ 2 ครั้งต่ออาทิตย์คือนอกจากอัพเดทการต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่ง แอนฟิลด์ โร้ด ของ ลิเวอร์​พูล แล้ว

การสร้างสนามใหม่ของ เอฟเวอร์ตัน ที่บริเวณอู่เรือ บรามลีย์-มัวร์ ที่จุผู้ชมได้ราวๆ 52,888 ที่นั่งเป็นอีกหนึ่งที่พฤติกรรมที่ต้องแอบแวะไปเยี่ยมชมเสมอ

ของ “หงส์แดง” เปิดใช้ทันฤดูกาลหน้าแน่นอนแต่ “ท๊อฟฟี่” ที่สร้างมาถึงครึ่งทางตอนนี้เจอปัญหาปวดหัวอยู่พอสมควร

ตามแผนเดิม เอฟเวอร์ตัน จะประเดิมสนามใหม่ต้นฤดูกาล 2024-25 แต่อาจล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมราวๆ 3 เดือน (เป็นอย่างน้อย)

ย่อๆสั้นๆคืออดีตแชมป์ลีกสูงสุดในชื่อดิวิชั่น 1 เดิม 9 สมัยจำเป็นต้องหาผู้ร่วมลงทุนเพื่อไปต่อกับการสร้างสนามใหม่ให้แล้วเสร็จ

ถึงตอนนี้ เอฟเวอร์ตัน ใช้เงินก่อสร้างไปแล้ว 350 ล้านปอนด์แต่จำเป็นต้องหาเงินอีกราว 200 ล้านปอนด์เพื่อให้แล้วเสร็จตามงบ 550 ล้านปอนด์

“ท๊อฟฟี่” พยายามมานานกว่า 3 ปีแล้วแต่จนแล้วจนรอดหาไม่ได้ซักที ทำไม?

ไม่มีใครกล้าเสี่ยงนะสิครับ เนื่องจาก เอฟเวอร์ตัน ถูกพรีเมียร์ลีกตั้งข้อหาเรื่องละเมิดกฏการเงินที่จะนำมาสู่การลงโทษด้วยการตัดแต้มในอนาคตข้างหน้านี้

เหตุผลนี้ผู้ร่วมลงทุนพากันส่ายหัวและกำลังรอให้ “ท๊อฟฟี่” เคลียร์ปัญหานี้ให้ลุล่วงก่อน

การส่อแววล่าช้านี้แน่นอนครับย่อมหมายถึง “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความหวังของชาวเมืองที่หากสนามใหม่เสร็จนอกจากจะสร้างงานกว่า 15,000 ตำแหน่งแล้วยังจะสามารถเสนอตัวจัดอีเวนท์ต่างๆทั้งฟุตบอลโลก, ยูโร หรือเมเจอร์ทัวร์นาเมนท์ที่หมายถึงการดึงนักท่องเที่ยวมายังเมือง ลิเวอร์พูล ไปในตัว

เดิมทีทั้ง กูดิสัน พาร์ค และ แอนฟิลด์ เป็นสนามมรดกตกทอดจากรุ่นคุณปู่ทำให้ขนาดไม่ได้มาตรฐานโดย “หงส์แดง” ยาว 101 เมตรแต่ ยูฟ่า กำหนดไว้อย่างน้อย 105 เมตร

ครับที่อารัมภบทมายืดยาวเพื่อที่จะเข้าเรื่องผลการเสมอที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดียม 2-2 ของ เอฟเวอร์ตัน ในเกมมันเดย์ไนท์

สัญญาณเตือนภัยคุกคามการร่วงจาก “พรีเมียร์ลีก” เป็นครั้งแรกเขย่าแรงขึ้นเรื่อยๆ

ลูกทีมของ ฌอน ไดซ์ ยังอยู่ในโซนแดงกับตำแหน่ง “รองบ๊วย” และเหลือโปรแกรมอีกเพียง 4 นัด

ในแง่ดีที่ยังพอมีความหวังคือแต้มเบียดกันมา การเอาชนะแค่เกมเดียวจะแซงขึ้นไปถึง 3 อันดับ

แถมพวก เวสต์แฮม, เลสเตอร์, ลีดส์ และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เดินรอผลงานห่วยไม่แพ้กัน

เมื่อคือนี้หากใครชมอยู่จะเห็นได้ว่าศึกแย่งอาหารเพื่อความอยู่รอดเป็น เอฟเวอร์ตัน ที่แม้มาในฐานะทีมเยือนแต่ขึง “จิ้งจอก” อย่างหนักจนครึ่งแรกมีโอกาสมากถึง 14 หนในขณะที่เจ้าบ้านมีแค่ 4-5 หนเท่านั้น

ความกระเหี้ยนกระหือรือวิ่งไล่บอลและอยากมีชีวิตรอดของขุนพล “ท๊อฟฟี่เมน” มีมากกว่า เลสเตอร์ ชัดเจนจนแฟนบอลเจ้าถิ่นนั่งเงียบเสียงร้องระงมมาเป็นพักๆเมื่อจ่ายบอลเสียกันเอง

แต่เหตุการณ์พลิกผันจากที่ เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำจากจุดโทษในนาทีที่ 15 กลับโดนแซง 2 เม็ดรวด

จากจังหวะยุกยิกในเขตโทษนำมาสู่ประตูตีเสมอในนาที 22 ของ โซยุนชู (ลูกแรกในฤดูกาลนี้)

ต่อด้วยลูก “หากิน” แบบฉบับของ เลสเตอร์ เมื่อ อิโวบี้ จ่ายบอลกลางสนามที่เหมือนอยู่ในตำแหน่ง “blind spot” เข้าเท้า ทีเลอมองส์ จนทำให้ แมดดิสัน แทงทะลุหลุดล้ำหน้าก่อน วาร์ดี้ สปีดหนีหลบ พิคฟอร์ด เข้าไปยิงแซง 2-1

แต่แล้วจุดเปลี่ยนจริงๆเกิดขึ้นเมื่อ “จิ้งจอก” มีโอกาสเช็กบิลคว้า 3 แต้มจากการได้จุดโทษช่วงทดเจ็บครึ่งแรก

สกอร์ 3-1 ทำให้ เอฟเวอร์ตัน กำลังถอดใจแต่ พิคฟอร์ด ต่ออายุชีวิตให้สโมสรด้วยการเซฟจุดโทษของ แมดดิสัน

โดย JM เลือกยิงตรงกลางกะว่ายังไงซะ พิคฟอร์ด พุ่งแน่ๆ จากบทสัมภาษณ์อดีตนายทวาร ซันเดอร์แลนด์ บอกว่าเตรียมแผนเซฟจุดโทษไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย

มีลิส 3 คนคือ ทีเลมองส์ ที่ชอบยิงทางซ้าย (100%), วาร์ดี้ ยิงทางขวา (50%) ส่วน แมดดิสัน ชอบตรงกลาง (60%)

ยิ่งในสถานการณ์ที่นำอยู่ 2-1 มันเชื้อเชิญให้ แมดดิสัน ลองของยิงตรงกลางมากกว่าปกติ หากไม่เข้าก็ยังนำอยู่และการซื้อใจหนนี้หมายถึง 1 แต้มในบั้นปลาย

อีโวบี้ ซัดประตูตีเสมอ 9 นาทีในครึ่งหลัง จากจ้งหวะบอลที่คู่อื่นโหม่งแย่งกันลอยมาเข้าทางปืน

จริงๆโดยรวม เอฟเวอร์ตัน เล่นเกมนี้ดีกว่าแต่ เลสเตอร์ เริ่มเหนือในช่วง 30 นาทีสุดท้าย

สำหรับฮีโร่ตัวจริงเสียงจริงของ “จิ้งจอก” กลายเป็น ดาเนี่ยล ไอเวอร์เซ่น นายทวารชาว เดนมาร์ก วัย 25 ปี

ไอเวอร์เซ่น ช่วยชีวิต เลสเตอร์ เอาไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง จุดเด่นคือ “reflex” ที่ไวมาก เช่นลูกยิงแปเน้นๆโล่งๆตั้งยิงของ อิโวบี้ ตั้งแต่นาทีที่ 8 แต่ล้มตัวปัดปลายมือ ใครเห็นก็ว่าเข้า

รวมถึงลูกท้ายครึ่งแรกที่โดนยิงจากระยะ 7-8 หลาแต่ตัวที่ถลำไปแล้วยังยกมือเดียวขึ้นมาตามสัญชาตญาณที่กลายเป็นช่วยเซฟเกือบๆบนเส้น

นายทวาร โคนม ที่สูงราว 193 ซม. อยู่กับสโมสรมา 6 ปีเป็นตัวสำรองอดทนมาตลอดก่อนที่ แบรนเดน ร็อจเจอร์ debut เกมพรีเมียร์ลีกหนแรกพบ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อเดือนมีนาคมหลังให้โอกาส แดนนี่ วอร์ด มานานแต่ขาดความสม่ำเสมอและ % ในการเซฟน้อย

ครับผลเสมอครั้งนี้ เลสเตอร์ เองก็เข่าแทบทรุด เนื่องจากฤดูกาลนี้ทรงบอลหลวมเหลือเกินเหมาะแก่การโดนชาวบ้านตลบหลังยิงได้ทุกเวลา

แถมพิสดารดันเล่นนอกบ้านดีกว่าในบ้านให้แฟนบอลงงเข้าไปอีกซะงั้น

ทีมของบอส ดีน สมิธ ยังต้องลุ้นเหนื่อยกันต่อเพราะโปรแกรมไม่ได้ง่ายเลยแต่ เอฟเวอร์ตัน ด้วยความที่ยังอยู่โซนแดงจึงมีโจทย์ที่ต้องชนะให้ได้ 1 นัดโดยเร็ว

อย่างที่เราเห็นกันคือ “ท๊อฟฟี่” เหลือเกมเจอทั้ง ไบรท์ตัน, แมนฯซิตี้, วูลฟ์ และ บอร์นมัธ

2 นัดแรกอย่างหนักแต่หากทีมหนีตกชั้นด้วยกันไม่ทำแต้มฉีกหนียังเหลือหนทางเป็นไปได้กับ “หมาป่า” และ “เชอร์รี่ส์” รออยู่

เอฟเวอร์ตัน เป็น 1 ใน 6 ทีมที่ยังไม่เคยตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก โดยลิสทั้งหมดตามนี้ครับ

– อาร์เซนอล (ตกชั้นหนสุดท้ายปี 1912/13)

– เอฟเวอร์ตัน (1950/51)

– ลิเวอร์พูล (1953/54)

– แมนฯยูฯ (1973/74)

– สเปอร์ส (1976/77)

– เชลซี (1987/88)

หรือถ้าจะให้ถูกหลักตามตำราก็ควรรวม ไบรท์ตัน เข้ามาอยู่ในหมวดนี้ด้วยเนื่องจากพวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่น “พรีเมียร์ลีก” หนแรกเมื่อฤดูกาล 2017/18 และยังไม่เคยตกชั้นอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (ตกชั้นจากลีกสูงสุดหนสุดท้าย 1982/83)

หากคอบอลรุ่นเก่ายังจำกันได้ เอฟเวอร์ตัน เคยรอดตกชั้นครั้งใหญ่เมื่อปี 1993-94 ที่ตามหลังเกมสุดท้ายถูก วิมเบิลดัน ขึ้นนำ 2-0 ใน 20 นาทีก่อนพลิกชนะ 3-2 ดีดตัวจากโซนแดงรอดตกชั้นสนามแตก

ผ่านมา 29 ปีวันนี้ เอฟเวอร์ตัน ที่ครั้งนึงแฟนบอลเคยป่าวประกาศเอาไว้ว่ายอมตกชั้นดีกว่าเห็น ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์กำลังวนกลับมาเจอเหตุการณ์สยองขวัญอีกครั้ง

ปีนี้ “หงส์แดง” ไม่มีแชมป์ใดๆแล้วแต่เพื่อนบ้านน่ารำคาญจะยอมตกชั้นเพื่อ unlock achievement โทรฟีย์นี่หรือเปล่ารู้เรื่องเดือนนี้คนับ…

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: