มี เป๊ป ไม่มีเรา 7 ปีแล้วพอได้หรือยัง?

ยอมรับว่าไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไรนักกับการที่ต้องมานั่งดูหรือเห็นรูปการฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

แต่ที่แน่ๆคือ respect และซูฮกกับวิธีที่ได้มันมาเป็นอะไรที่ขึ้นหิ้งภายใต้การคุมบังเหียนของ เป๊ป กวาดิโอล่า

นับตั้งแต่ปี 2016 หรือ 7 ปีที่แล้ว เป๊ป ดูดแชมป์มาประดับสโมสรแล้ว 10 รายการคือ พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, คาราบาว คัพ 4 สมัย, เอฟเอ คัพอีก 1 สมัยและอาจจะมากกว่านี้กับอีก 2 รายการที่รออยู่

ผมชอบคำพูดของผู้บรรยายทรูวิชั่นในระหว่างพิธีมอบถ้วยแชมป์ที่ เอติฮัด หลังชนะ เชลซี 1-0

ขออภัยจำชื่อไม่ได้ที่บอกว่า เป๊ป เป็นผู้นำและกำหนดเทรนด์ฟุตบอลสมัยใหม่ที่จะทำให้มีคนเดินตามรอยปรับตัวไปเรื่อยๆ

จากแรกเริ่ม build up ตั้งแต่ผู้รักษาประตู, ระบบเพรสซิ่ง, inverted back และล่าสุดที่ทำให้เข้าเบรกเก็บชัยจน อาร์เซนอล ท้อแท้ กับระบบหลัง 3 เอาเซนเตอร์มาเป็นมิดฟิลด์

เป็นการ invent หรือประดิษฐ์รูปแบบการเล่นจากแนวคิดที่ว่าฟุตบอลไม่มีระบบและตำแหน่งที่ตายตัว

หมดสมัยที่ผู้เล่นยืนตามจุดและรับผิดชอบพื้นที่ของตัวเองแบบ 100% อีกแล้ว

จะว่าไปแล้วต้นๆซีซั่น ซิตี้ มีแกว่งๆดูน่ากลัวน้อยกว่าเดิมเป็นเพราะการมาของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่รับบทตำแหน่งหน้าเป้าจนมีหลายคนเริ่มพูดกันว่าระบบ false9 ปีก่อนทีมน่ากลัวกว่านี้เยอะ

แต่หลังปรับนั่นจูนนี่ ฮาลันด์ ยิงกระจาย 36 ลูกทำลายสถิติตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ความยุดยอดของหอก นอร์เวย์ คือบางเกมโดนลักพาตัวมีโอกาสจับบอลแค่ไม่กี่ครั้งด้วยซ้ำ

เวลาว่างๆผมชอบย้อนดูลิปเก่าๆยุค 90 ด้วยรูปแบบโบราณในยามที่คู่แข่งพาบอลมาถึงหน้าเขตโทษแฟนบอลดูนิ่งและนักเตะไม่อเลิร์ทจนต้องนึกในใจว่าเฮ้ยแม่งเข้าระยะยิงละนะ

แค่สมัยนี้แค่แกะเพรสจนกลางโบ๋เสียงฮือฮาของแฟนบอลก็ดังสนั่นแล้ว

ผมเคยคิดว่ามาตรฐานพรีเมียร์ลีกโหดกว่ายุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ตอนที่ โจเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุม เชลซี

แท็คติกส์ “เกมรับทำให้คุณเป็นแชมป์” ยังพอเปิดช่องให้สู้ให้พลิกเกมได้

แต่ในยุค เป๊ป คือการทำแต้มหล่นซักเกมสองเกมเกิดขึ้นไม่บ่อย ศักยภาพของผู้เล่นเหนือกว่าทีมอื่นๆอยู่แล้วแต่ระบบการเล่นทำให้ทีมโหดขึ้นอีก x2

เป็นการดูบอลที่แช่งแล้วเหนื่อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเราทุกคนเลยก็ว่าได้

ดูนักเตะอย่าง นาธาน อาเก้ จากแข้ง average จาก บอร์นมัธ ที่ซื้อมาเป็นอะไหล่เพื่อให้ตัวหลักพัก

ตอนนี้เป็นไงยกระดับขึ้นมาแบบติดเพดาน การซ้อมโดยมีนักเตะระดับโลกรายล้อมและยังถูกโค้ชเบอร์ 1 ตะโกนกรอกหูทุกวันเป็น key ของความสำเร็จที่ว่านี้

ชัยชนะเหนือ เชลซี โดยส่งเด็กลงเล่นเราเห็นกันทันทีว่า เป๊ป และ ซิตี้ สร้างอคาเดมี่รอบรับไว้น่ากลัวแค่ไหน

ความเข้าใจเกม+เทคนิคส่วนตัวต่อบอลทำชิ่งหลอกนักเตะชุดใหญ่ของ “สิงห์” เรียกเสียงฮือฮาได้หลายจังหวะแม้บอลสุดท้ายจะมีกลิ่นอายความเป็น “เด็ก” ก็ตามทีแต่มันทำให้เห็นว่า “เรือ” วางฐานอนาคตไว้ไกลมากๆ

การลุ้นเอฟเอ คัพ ที่จะกลายเป็นดับเบิ้ลแชมป์และ UCL ที่รอคอยกับเทรปเปิ้ลแชมป์จะตอกย้ำความเป็นทีมเบอร์ 1 ของโลก

เป๊ป ประกาศแบบชัดเจนครับว่า ‘The best clubs are always starving’ พวกทีมระดับโลกกระหายแชมป์อยู่ตลอดเวลา

นี่คือการส่งสัญญาณของ เป๊ป ที่ต้องการให้ลูกทีมปลดล็อกแชมป์ UCL ในเดือนหน้าให้ได้

เชื่อว่า เป๊ป ยังไม่น่าจะอิ่มตัวกับ ซิตี้ ในเร็วๆนี้เพราะเคมีและ ambition ของเขากับท่านชีคแมทช์กันอย่างลงตัว

นอกจากตอนนี้ลุ้นเทรปเปิ้ลแชมป์ทีมแรกนับตั้งแต่ แมนฯยูฯ เคยทำเอาไว้เมื่อปี 1999 ปีหน้า “เรือ” จะลุ้นทำสถิติเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

ตอนนี้บอสใหญ่ชาว สเปน ทาบสถิติ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยยืน 1 เป็นคนแรกและคนเดียว (ก่อนหน้านี้) ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน

ในความเป็นจริง เป๊ป ควรเป็นตำนานสร้างสถิติที่ชีวิตนี้อาจไม่มีใครทำได้อีกแล้วคือการกดแชมป์ลีกรวดเดียว 6 สมัย

แต่ ลิเวอร์พูล ทะลึ่งโผล่ “แทรก” เป็น 1 เดียวใน 6 ปีที่ว่านั้นเมื่อฤดูกาล 2019-20

ดูจากตัวเลขและคู่แข่งที่พยายามดึง ซิตี้ ลงจากบัลลังก์ในรอบ 6 ปีนี้ต้องซูฮก เยอร์เก้น คล็อปป์ จริงๆว่าแกสุดยอดแค่ไหน

ในอีกนัยนึงถ้าไม่มี เป๊ป ป่านนี้ JK ได้แชมป์พรีเมียร์มากกว่า 1 สมัยแน่ๆ เอาไม่ใกล้ไม่ไกลฤดูกาล 2021-22 ที่ “หงส์แดง” กดไป 92 แต้มแต่ ซิตี้ ดันเฉือนไป 1 แต้ม

อยู่ที่จังหวะจะโคนจริงๆครับ อย่างปีนี้ ซิตี้ ได้แชมป์ตอนที่แตะ 88 แต้มหรือย้อนไป เลสเตอร์ ได้แชมป์ลีกฤดูกาล 2015-16 ก็ได้แค่ 81 แต้ม

นับนิ้วถึงตอนนี้แล้ว “เรือใบ” สะสมแชมป์ดิวิชั่น 1 เดิม/พรีเมียร์ลีกไปแล้ว 9 สมัย ยังมี milestone อีกหลายแง่มุมครับที่พวกเขายังเดินหน้าตามเก็บเพื่อดัน reputation ของสโมสรให้อยู่ในระดับเดียวกับ แมนฯยูฯ, เชลซี, อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล ในแง่ของโทรฟีย์

ถ้า เป๊ป ไม่หมดไฟหรืออยากกลับบ้านไปเจอแสงแดดที่ สเปน หรือเก็บงานอีกหนึ่งหมุดหมายที่ อิตาลี

พวกเราคงต้องทนดูความสำเร็จและเขียนบทความชื่นชม แมนฯซิตี้ ปรับทุกข์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆครับ…

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: