JK Time ค้าง 1-0 เขามาแน่

JK Time ค้าง 1-0 เขามาแน่

ผมให้น้ำหนัก เยอร์เก้น คล็อปป์ ประเมินสภาพทีมตัวเอง “สูงเกินไป” มากกว่าจะประเมินความอันตรายของ วูลฟ์แฮมป์ตัน “ต่ำเกินไป”

จากการที่เคยบุกมาแพ้ที่นี่ด้วยสกอร์ 3-0 เมื่อฤดูกาลที่แล้วแน่นอน JK ไม่ประมาทแน่นอนและรู้ด้วยว่าต้องเจอกับอะไร

แต่ปัญหาใหญ่คือวันนี้ “หงส์แดง” เสีย 3 กองหลังตัวจริงไปพร้อมๆกันคือ VvD, TAA และ BNK ถุยยส์!! IKN

เงื่อนไขต่อมาหลังเบรกทีมชาติ คล็อปป์ เลือกที่จะ “ซื้อ” ประสบการณ์ของ แม็คอัลลิสเตอร์ (ส่วนแก้งค์อเมริกาใต้ 2 คนอย่าง ดิอาซและนูนเญซนั่งสำรอง)

ทำให้วันนี้เราได้เห็นอาการ “เจทแล็ค” และใบเหลืองเร็วตั้งแต่ 4 นาทีแรกจนไม่กล้าเข้าบอลสุ่มเสี่ยงอีกเลย

การที่แข้งแชมป์โลกเหมือนคน “เน็ตค้าง” ทำให้กลายเป็นเป้าหมายของแข้งเจ้าถิ่นที่เข้าเพรสแย่งบอลอย่างรวดเร็ว เป็นสภาพที่น่าสงสารโคตรๆ

ต้องปรบมือให้ แกรี่ โอนีล ที่รู้และถือข้อมูลชุดเดียวกับพวกเราในประเด็นปัญหาแนวรับและสภาพความฟิตของนักเตะทีมเยือน

ไม่ใช้ความได้เปรียบตรงนี้, วันนี้และเกมนี้จะไปรอเกมไหน!!

ดังนั้นการบุกมาเอาชนะ วูลฟ์ 3-1 ครั้งนี้ของ ลิเวอร์พูล ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคไม่แพ้วันที่เหลือ 10 ตัวที่ เซนต์เจมส์ พาร์ค จึงหอมหวานและสวยงามไม่แพ้กันจริงๆ

AMA เป็นแค่หนึ่งในเหยื่ออันโอชะของแข้ง “หมาป่า” เพราะที่เหลือรับเละกันถ้วนหน้าด้วยสปีดบอลและความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดทีมยูโรป้า ลีกสู้ไม่ได้เลย

ทีมเยือนต้องใช้ผู้เล่น 2-3 คนรุม เนโต้หรือ คุนญ่า ไม่สามารถปล่อยให้ใครอยู่ตามลำพัง 2 ต่อ 2 ได้เลย

ผิดกับ วูลฟ์ โจต้า และ ซาลาห์ ดวล 1-1 กับ เซเมโด้ และ อีต-นูรี ยังไม่ได้เลย

โอนีล รู้ครับว่าริมเส้นเอาอยู่สบายๆจึงอัดกลางแน่นๆเพราะสภาพทั้งความไวและความแกร่งผิดกันลิบลับ

ทั่วทั้งสนามในครึ่งแรก “หงส์แดง” แตกทัพไม่มีชิ้นดีทั้ง มาติ๊ป หรือ โกเมซ ที่ต่างถูก เนโต้ แหวกเป็นสาหร่าย

จะบอกว่าโชคดีก็ไม่ผิดครับที่ “หมาป่า” ดันมีมะเร็งร้ายคือเรื่องยิงประตูที่แก้ไม่หายมาหลายปีไม่ว่าจะเปลี่ยนโค้ชกี่คนทำให้ครึ่งแรกนำแค่ 1-0

ช่วงกด ลิเวอร์​พูล ยับๆโอกาสเป็นทุ่งแต่กลับปล่อยให้ชัยชนะที่ควรจะจบตั้งแต่ครึ่งแรกหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาโดยเฉพาะลูกโขกเหนือกาลเวลาจ่อๆของ คุนญ่า ที่เทคตัวเร็วเกินไป

ดังนั้นผมสรุปได้ว่า JK วางแผนตั้งแต่นั่งรถทัวร์ออกจากเมอร์ซีย์ไซด์ว่า 11 ตัวแรกที่ว่านี้สามารถเอาอยู่หรือ worst case ก็ยังทิ้งการบ้านไว้ให้พอแก้ไขได้

ครึ่งหลังนี่ชัดเจนครับ หลุยส์ ดิอาซ ลงมาเพิ่ม speed ball และเลี้ยงกินตัว 1 on 1 รูปเกมเปลี่ยนแทบจะทันที ฝั่ง วูลฟ์ ออกอาการแทบจะทันที

นี่เราพูดถึงการเปลี่ยนแค่ตัวเดียวดังนั้นโชคดีเหลือหลายที่ กัคโป ยิงประตูก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกไม่กี่วินาที

“หงส์” เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำในครึ่งแรกกลายเป็นผู้ลงมือบีบให้ฝั่ง “หมาป่า” ที่จู่ๆเก้บทรงไม่อยู่ทิ้งบอลจากแดนหลังมั่วเละเทะ

เป็นผลพวงของพลังไดนามิคของ ดิอาซ และ นูนเญซ วิ่งป่วนในแดนบน เพิ่มมิติเกมรุกให้บอลเดินทางไวและเร็ว ส่วนหน้าที่ตอนไม่มีบอลต้องไม่เอื่อยและหงอเหมือนในครึ่งแรก

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ โซบอสไล แสงออกตีนเป็นคุมจังหวะเกมร่วมกับ โจนส์ และ 2 เซนเตอร์ต่างวัยทั้ง มาติ๊ป และ ควอนซาห์ งานง่ายเก็บกินสบายๆ

ผู้เล่น วูลฟ์ ในครึ่งหลังไม่ต่างอะไรจากวันที่แข้ง ลิเวอร์พูล วิ่งเข้าหา วิลล่า จนออกอาการกลัว

การรีบเร่งหวดบอลเล่นเร็ว(แต่แป๊ก)ของ โชเซ่ ซา ทั้งๆที่ครึ่งแรกโคตรนิ่งนำมาสู่การได้ประตูขึ้นนำ 2-1 ของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่เอาลงก่อนไปฝากให้ ซาลาห์

นับตั้งแต่บอลออกจากเท้าและ “สายควัน” เริ่มวิ่งตั้งแต่กว่า 30 หลารวมกินเวลา 6 วินาทีไม่มีผู้เล่นเจ้าถิ่นวิ่งตามประกบเลยด้วยซ้ำ

น่าตลกนะครับที่ครึ่งแรกแค่พื้นที่หลาเดียวนักเตะ วูลฟ์ แทบไม่เปิดโอกาสให้ทีมเยือนได้หายใจหายคอ

พูดได้ว่าทั้ง วูลฟ์แฮมป์ตัน และ ลิเวอร์พูล ต่างฝ่ายต่างได้โควต้าของตัวเองคนละครึ่งแต่เป็น “หงส์แดง” ที่คว้าโอกาสจบสกอร์ที่มีได้มากกว่า

เป็นการสรุปที่เหมือนจะห้วนไปหน่อยแต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ในเกมบีบๆตึงๆแบบนี้ถือว่าเจ้าหนู ควอนซาห์ ในวัย 20 ปีที่อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ 5 ขวบทำผลงานเกินคาดมากๆ หลายจังหวะกลายเป็นฝ่ายแบกรุ่นพี่ซะด้วยซ้ำ

เท่าที่เห็นคุณสมบัติที่จำเป็นในการต่อยอดฝีเท้าถือว่ามีครบครับทั้งความนิ่ง, การอ่านเกมและเชิงบอล (ดึงจังหวะออกบอลหลอกคู่แข่ง)

ถ้าไม่ติดยาบ้าหรือติดหญิงผมมั่นใจว่าเซนเตอร์เจ้าของความสูง 190 ซม. เกิดแน่น่อนครับ ฟันธง

ครับ วันนี้แฟน “หงส์” ถือว่าก้าวข้ามผ่านอาถรรพ์และความซวยที่ต้องเจอเกมหลังเบรกทีมชาติมากที่สุดถึง 12 เกมนับตั้งแต่ JK เข้ามาคุมทีมเมื่อเดือนตุลาคม 2015

แถมลบล้าง “เวลาต้องห้าม” 12.30 (ที่อังกฤษ) หลังฤดูกาลที่แล้ว 6 นัดไม่ชนะเลยแบ่งเป็นเสมอ 3 แพ้ 3

ในแง่ของการปฏิวัติโครงสร้างทีมในฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล ยังมีดีเทลที่ต้องปรับอีกเยอะ

แต่สำคัญคือตัวเลข 5 นัดชนะ 4 ทำให้งานของ JK และลูกทีมนอกจากไม่ต้องแบกความกดดันแล้ว ตรงกันข้ามกลับเชื่อมั่นในแนวทางนี้มากขึ้นไปด้วยครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

9 จาก 13 แค้มที่ ลิเวอร์พูล ได้ในฤดูกาลนี้มาจากการตามหลังคู่แข่ง นับเป็นทีมที่คัมแบ็คมากที่สุดในฤดูกาล 2023-24 ด้วยการชนะทั้ง 3 เกมจากการคามหลัง 1-0

โม ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับ 200 ประตูใน 223 เกมลีกกับ ลิเวอร์พูล (139 ประตูกับอีก 61 แอสซิสต์) มีเพียง เธียร์รี่ อองรี เท่านั้นที่แตะเลข 200 ด้วยจำนวนเกมที่น้อยกว่า (206 เกมกับ อาร์เซนอล)

ซาลาห์ ยังเป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก 4 เกมติดหลัง มุซซี่ อิซเซ็ต เคยทำไว้เมื่อปี 2003, เชสก์ ฟาเบรกาส 2015 และ เดเลเฟว 2015

ตลอดการลงเล่น 200 เกมลีกให้ ลิเวอร์พูล, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ยิงประตูแรกในลีกนับตั้งแต่พฤษภาคม 2022 ซึ่งเกมนั้นบังเอิญเป็น วูลฟ์ ทีมเดิม

วูลฟ์แฮมปืตันแพ้คาบ้านในลีกโดยที่พวกเขายิงขึ้นนำก่อนเป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2022 ที่พบกับ ลีดส์ ยุติสถิติไร้พ่ายเมื่อขึ้นนำคู่แข่งไปก่อนไว้ที่ 12 นัด (ชนะ 10 เสมอ 2)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: