วิกฤติศรัทธา ผีแพ้ 3 จาก 5 เกม
ใดๆก็แล้วแต่ความพ่ายแพ้คาบ้านของ แมนฯยูฯ ต่อ ไบรท์ตัน ผมต้องย้ำกับทุกคนว่าให้เลิก “ตกใจ” หรือมองว่ามันไม่ปกติก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าแฟน “นกนางนวล” มีปากมีเสียงมากพอที่จะส่งเสียงดังๆพวกเขาคงอยากถามว่าต้องให้ชนะทีมใหญ่อีกกี่เกมอีกหรือกี่ซีซั่นถึงจะมองพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับบรรดาหัวตารางซักที
ถ้าคุณปล่อยวางและมองความเป็นจริงได้เมื่อไหร่การเจอ ไบรท์ตัน ไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งหน้าคุณจะเล่นด้วยความยำเกรงและรอบคอบมากขึ้น
หาใช่บุกแหลกตามเสียงเชียร์เพียงเพราะสโมสรนี้มีแค่ชื่อว่า ไบรท์ตัน
ในฐานะแฟน ลิเวอร์พูล ผมนี่อยากเชยชม 3 แต้มจากทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ มากที่สุดพอๆกับ แมนฯซิตี้
สถิติย้อนหลัง 7 นัด “หงส์” ชนะได้แค่เกมเดียว คือในยุคของ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ที่ “นกนางนวล” ดูโหดแล้วแต่ เด แซร์บี้ “อุกอาจ” กว่าเห็นได้ชัด
เห็นได้ชัดว่า “ปีศาจแดง” พกความแค้นที่ไม่เคยชนะ ไบรท์ตัน มาตลอด 4 เกมหลังสุด (แพ้ถึง 3) ด้วยการเปิดหน้าบุกอย่างเมามัน
การเล่นในบ้านตัวเองกับทีมระบบจ๋าอย่าง ไบรท์ตัน ผมมองว่าเป็นงานยากกว่าออกไปเยือน
ไหงงั้น?
ต่อให้คุณรู้ว่า “นกนางนวล” น่ากลัวขนาดไหนแต่การงอมืองอตีนต่อหน้าแฟนบอลตัวเองมันทำไม่ได้อยู่แล้วโดยเฉพาะคุณมองว่าตัวเองเป็นทีมที่ใหญ่กว่า
แมนฯยูฯ จึงต้องท้าทายระบบของ ไบรท์ตัน อีกรอบและพบกับจุดจบแบบเดิมในบั้นปลาย
เกมรับที่ “เปราะ” อยู่แล้วถูกเจาะอย่างง่ายดายเพียงแค่โอกาสยิงหนแรกในนาที 20 จากเด็กเก่าอย่าง “โก๋แดน” แดนนี่ เวลเบ็ค
เป็นการเข้าทำที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เคาะตรงกลางสนาม 2 ทีมก่อนออกปีกตบเข้าเขตโทษและแท็บอินที่จุดนัดพบ
เป็นใครก็หงุดหงิดครับเพราะเสียประตูนี้แนวรับของ ยูไนเต็ด คุมกันหลวมมาก ปล่อยให้นักเตะ ไบรท์ตัน มีเวลาทั้งครองบอลและมองเพื่อนแบบเยอะสุดๆ
หนำซ้ำนักเตะในเขตโทษก็มากกว่าเขาแต่ทุกคนมองแต่บอลกันหมด ไม่มีการแบ่งหน้าที่อะไรกันเลย
พูดได้ว่าทั้ง 3 ลูกที่เสียมันง่ายผิดปกติ ทุกจังหวะการยิงของนักเตะทีมเยือนมาจากผู้เล่นแถว 2 ทั้งนั้นและลงเอยด้วยการที่แข้ง “ปีศาจแดง” ปล่อยให้เขาวิ่งผ่านหน้าไปเฉยๆ มารู้ตัวอีกทีคือเขาเข้าระยะยิงแล้ว
ในส่วนของเกมรุกวันนี้คือพังยับไม่แพ้เกมรับ ไม่มีทรงอะไรเลย สิ่งที่เห็นคือการก้มหน้าก้มตาเลี้ยงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด
เอริค เทน ฮาก จัดตัวขัดใจแฟนผีเนื่องจากในวันที่ไร้ปีกธรรมชาติอย่าง แอนโธนีย์ และ ซานโช่ แต่กลับให้ทั้ง การ์นาโช่ และ เปเรสตรี นั่งสำรองและวางระบบ 4-2-3-1 ที่ยัด แม็คโทมิเนย์ ยืนคู่ ซาเซมิโร่ และใช้ บรูโน่ ยืนถ่างเป็นปีกฝั่งขวาแทน
สื่อนอกวิเคราะห์ว่า เทน ฮาก เลือกใช้ แม็คโทก็ว่าแย่แล้วแต่การให้มาเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดคือมิดฟิลด์ฝั่งขวาที่ไม่ใช่นักเตะประเภทถ่างออกด้านข้างส่งผลทำให้ ดิโอโก้ ดาโลท์ “งานเข้า” ในการรับมือกับ มิโตมะ
ประเด็นความพ่ายแพ้ครั้งนี้มีเจียดมาให้ โอนาน่า ที่โดนยิงเป็นตุงซึ่งคำถามจากแฟนผีคือซื้อมาเพื่อเล่นเท้าแต่ไม่มีการเซ็ตบอลจากหลังตามที่ ETH ตั้งใจไว้
กลายเป็นว่าลูกเซฟมหัศจรรย์ของ เด เกอา หายไปแบบเปล่าประโยชน์หรือไม่?
หลังจบเกมเมื่อคืนมีสถิติ (ในแง่ลบ) เกิดขึ้นเนื่องจาก แมนฯยูฯ เสียประตูในบ้านเกิน 1 ลูกขึ้น 4 เกมติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 1989
ปัญหาในสนามก็อีกเรื่องนึงแต่ที่จำเป็นต้องรีบสะสางไม่แพ้กันคือสิ่งที่อยู่นอกสนาม
เสีย เมสัน กรีนวู้ด ไปคนนึงแล้ว “ผีแดง” ต้องเสียตัวรุกไปพร้อมๆกันถึง 2 คือ “เดอะ หมุน” แอนโธนีย์ รวมถึง จอร์ดอน ซานโช่ ที่มีข้อพิพาทกับ เอริค เทน ฮาก
สิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันทำให้ ETH ต้องพยายามกอบกู้วิกฤติศรัทธาซึ่งไม่มีอะไรดีกว่าผลงานในสนาม
การพร้อมใจกันโห่ของแฟนบอลหลังเปลี่ยนเอา ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่เล่นดีออกและส่ง มาร์ซิยาล เป็นเสียงสะท้อนถึงความยุ่งเหยิงที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด ชัดเจนที่สุด
ผมกำลังมองในแง่ดีที่ว่า ยูไนเต็ด เจอโปรแกรมกับทีมที่เรียกว่ากำลัง “กลัดมัน” ทั้ง สเปอร์ส, อาร์เซนอล และ ไบรท์ตัน ในวันที่ขุมกำลังยังปรับจูนไม่ติด “เร็วเกินไป”
ความคาดหวังที่จะต่อยอดจากผลงานของซีซั่นก่อนต้องลืมๆไปก่อนเนื่องจากการพ่ายแพ้ 3 จาก 5 นัดเป็นตัวเลขที่ไม่มีใครรับได้แน่นอน
เหนืออื่นใด ยูไนเต็ด แพ้เพราะตัวเองก็ส่วนนึงแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ขอ “คาราวะ” ในรูปแบบการเล่นของ ไบรท์ตัน และคุณภาพนักเตะที่นิ่งและรับส่งบอลอย่างใจเย็นด้วยระบบที่แน่นตั้บ
นี่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ เด แซร์บี้ เปลี่ยนผู้เล่นจากนัดชนะ นิวคาสเซิ่ล มากถึง 6 คน แล้วดูสิครับผลงานที่ออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
Outclass คำๆนี้ไม่เกินไปเลยด้วยซ้ำกับการขึงเกมทั้งสอนบอลเล่นลิงชิงบอลถึงถิ่น โอลด์แทรฟฟอร์ด
การเปิดซิงเวทียุโรปครั้งแรกของ “เจ้านกนางนวล” ในวันพฤหัสนี้กับ เออีเค เอเธนส์ ไม่เชียร์ไม่ได้จริงๆครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ แพ้อย่างน้อย 3 เกมจาก 5 นัดแรกพรีเมียร์เป็นครั้งแรกของสโมสร
ยูไนเต็ด เสีย 2 ประตูหรือมากกว่านั้นใน 4 เกมลีกหลังสุด เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของพวกเขาร่วมกับเมื่อปี 2001 ตลอด 4 เกมในเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 8 ที่เอาชนะการเจอ แมนฯยูฯ 2 เกมแรกต่อจาก เกล็น ฮอดเดิ้ล, โจเซ่ มูรินโญ่, สเวน โกรัน เอริคเซ่น, คาร์โล่ อันเชล็อตติ, แกรี่ มังค์ และ มิเกล อาร์เตต้า
ปาสกาล โกรส ยิง 4 ประตูที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด (ในลีก) มีเพียง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด และ โม ซาลาห์ ที่ทำได้มากกว่า (5 ประตู)
แดนนี่ เวลเบ็ค ยิงใส่ทีมเก่า “ปีศาจแดง” ไปแล้ว 4 ลูก นับเป็นนักเตะที่ยิงใส่ ยูไนเต็ด ทีมเก่ามากที่สุดในพรีเมียร์ลีกแล้ว
ที่มา: soccersuck