Merseyside is Red 10 ยากกว่า 11
ชัยชนะในลีกหนแรกในรอบ 3 นัดของ ลิเวอร์พูล หลังเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 ต้องบอกว่าเกือบแพ้ภัยตัวเอง
ด้วยความที่ตัวมากกว่า+คู่แข่งอยู่ในสภาพ “รองบ่อน” ความละเอียดในการเล่นหายไปและถูกทดแทนด้วยการเล่นเสี่ยงในจังหวะที่ไม่ควรเล่น
การเหลือ 10 ตัวของ “ท๊อฟฟี่” เหมือนจะเป็นเรื่องดีแต่จริงๆแล้วกลับทำให้ “หงส์” เล่นยากกว่าเดิมและเป็นการเล่นยากที่ตัวเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน
ชอน ไดช์ จากที่พอแอบหวังชนะอยู่บ้างกลายเป็น “อุด” เต็มสูบแถมแท็คติกส์บอลโบราณรับต่ำทั้งแผงแทบไม่เหลือพื้นที่ให้ตัวเร็วๆของเจ้าบ้านได้สปรินท์เลย
โอเคเชิงทฤษฏีไม่มีทีมไหนชอบเมื่อเจอกับทีมอุด เล่นยากขึ้น หาตัวจ่ายใน final third ยากขึ้นแต่ในทางปฏิบัติเมื่อคุณทำอะไรกับบอลแล้วต้องเริ่มมองหาการสร้างโอกาส ไม่ใช่ฝืนจังหวะตัวเอง
การฝืนเล่นที่เราเห็นมาตลอดทั้งฤดูกาลนี้ของ ดิอาซ ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อาศัยความได้เปรียบตรงนี้ ดึงจังหวะล็อกเยอะจนโอกาสที่ควรได้ลุ้นหายไป
ดังนั้นพูดได้ว่าการเลือกเปิดบอลของแข้งทีมชาติ โคลอมเบีย ที่นำมาสู่การทำแฮนด์บอลของ ไมเคิ่ล คีน ก็เป็นประเด็นที่ผมกำลังพูดถึงว่าเราควรทำอะไรซักอย่างกับบอลที่จังหวะมันต้องเล่น ก็แค่นั้น จะติดแขนติดบล็อกได้เตะมุม เพื่อนวิ่งเข้ามาที่จุดนัดพบ บลาบลา มันก็คือโอกาส
ในระหว่างที่พิมพ์ๆก้มๆเงยๆคู่ แมนฯซิตี้ กับ ไบรท์ตัน โดกู ปีกทีมชาติ เบลเยียม ที่เลี้ยงบอลท่าตลกกว่า ดิอาซ แต่เมื่อถึงเส้นหลังคือแกเปิดเลย 1-0 ง่ายๆตั้งแต่นาทีที่ 7 แถมอีก 3-4 นาทีต่อมาก็คล้ายๆกัน (ได้แค่ลุ้น)
ท่ามกลางการเล่นที่น่าอึดของแต่ละคนไม่ว่าจะ ดิอาซ, TAA รวมถึง โม ซาลาห์ ที่วันนี้ผมว่าแปลกๆเหมือนเสียสมาธิเรื่องการเมือง ครึ่งแรกเลี้ยง, จับบอล หลายๆจังหวะไม่เหมือนเดิม
แต่คนที่ผมชอบที่สุดเป็น ดิโอโก้ โชต้า เล่นบอลโดยมองคู่ต่อสู้เหมือนเกมอื่นๆทั่วไป มองฝั่งตรงข้ามเหลือ 11 ตัวเท่ากัน พยายามเล่นเป็นทีม ไม่มีฝืนโชว์ใดๆทั้งสิ้น แทบไม่เสียบอลเลยด้วยมั๊ง
มีข้อสังเกตอันนึงที่จริงๆควรเอาไปคุยในวงเหล้ามากกว่ามาพูดในนี้แต่ผมกลับรู้สึกว่าเกมนี้ทางคณะกรรมการเหมือนพยายามจะหาทางชดเชยสิ่งที่ทำลงไปในเกมกับ สเปอร์ส
แฟนบอล ลิเวอร์พูล ทั่วโลกมีกี่สิบกี่ร้อยล้านคน ทำทีมเขาแพ้แถมเสียสถิติดีๆไปอีกเพียบ PGMOL ไม่เครียดไม่กดดันให้มันรู้ไป
ผมไม่ได้บอกว่าบอลมีงานหรือ ลิเวอร์พูล ชนะเพราะมีตัวช่วย สิ่งที่ผมพยายามสื่อคือถ้ามีจังหวะหรือเหตุการณ์ที่พอจะหาทางใช้คืนแบบไม่น่าเกลียด มันต้องมีซักนัด
ยกตัวอย่างเช่นปกติ เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมทช์ เขาจะมีเกณฑ์การแจกใบเหลืองสูงกว่าเกมปกติทั่วไป
หากใครได้ผ่านเกมดาร์บี้มาจะเห็นว่าบอลเสียบกันตัวลอยอย่างดุต้นเกมเขาจะเรียกมาเตือนก่อน ถ้าไปแจกตามมาตรฐานเดิมใบเหลืองใบแดงกระจายแน่นอน
ดังนั้นใบเหลืองจังหวะริมเส้นของ แอชลีย์ ยัง ซึ่งอยู่ห่างไกลปากประตูในนาที 18 ผมบอกแฟนที่นั่งเล่นมือถืออยู่ว่าเกมนี้ต้องมีใบแดงแน่ๆ ถ้าไม่เชื่อ dm ไปถามได้ที่ ig : jayrin_f
ในมาตรฐานเดียวกัน อีบู กานูเต้ ก็ไม่น่ารอด 2 เหลืองจากการเจตนาทำฟาว์ลกลางสนามจังหวะพลิกหนีของ เบโต้ ซึ่งฝั่ง “ท๊อฟฟี่” รุมประท้วงอย่างหนักและ ไดซ์ ถูกใบเหลืองไปเพราะเหตุการณ์นี้อีกคน
ครับสุดท้ายนี้ขอบคุณน้องรัก ดาร์วิน นูนเญซ ที่แสดงให้เห็นแล้วว่ายิ่งเล่นยิ่งใช่ เห็นแล้วเลิฟขึ้นทุกวัน เล่นเพื่อทีมสุดๆ ไม่หวงบอล ใครอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าให้แน่นอน นี่คือที่มาของประตูสวนกลับของ ซาลาห์ ที่ทำให้ทุกอย่างจบทันที
เป็นบททดสอบหลังเบรกทีมชาติที่ตึงๆเครียดๆใช้ได้เลยแต่สิ่งที่ได้มาคือ 3 แต้มสวยๆที่ เดอะ ค็อป ร้องเพลงรอมาเกือบเดือน…
สถิติ สถิติ สถิติ
เยอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นกุนซือที่คว้าชัยในเกมพรีเมียร์ลีกกับ เอฟเวอร์ตันแทนแชมป์เก่า ราฟา เบนิเตซ หลังได้ 3 แต้มเหนืออริเป็นเกมที่ 9
ลิเวอร์พูล เก็บคลีนชีตในการเจอกับ เอฟเวอร์ตัน 4 นัดพรีเมียร์ลีกหลังสุด เป็นสถิติคลีนชีตที่นานที่สุดนับตั้งแต่เมษายน 1976 (9 นัดติด)
โม ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับ 8 ประตูกับ ลิเวอร์พูล ใน 10 เกมลีกที่เจอ เอฟเวอร์ตัน (7 ประตู 1 แอสซิสต์) มีเพียง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด (9) เท่านั้นที่ยิงมากกว่า ซาลาห์ (7)
นอกจากนี้ โม ยังทำสถิติอีกอย่างคือไม่ยิงก็แอสซิสต์ใน 13 เกมหลังสุดในลีกที่ แอนฟิลด์ โดยมีเพียง อลัน เชียร์เรอร์ (18 เกม) และ เธียร์รี่ อองรี (17) เคยทำไว้ในบ้านตัวเองติดต่อกัน
แอชลีย์ ยัง เป็นนักเตะคนแรกที่ถูก 2 เหลืองในพรีเมียร์ลีกเกมพบ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ ซาดิโอ มาเน่ สมัยเล่นให้ เซาท์แฮมป์ตัน เมื่อปี 2015
ในขณะเดียวกัน ยัง กลายเป็นนักเตะที่แก่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่ถูกไล่ออกในพรีเมียร์ลีกต่อจาก สจ๊วต เพียรซ์ และ ฟิล จาเกียลก้า
เอฟเวอร์ตันได้แค่ 7 แต้มจาก 9 เกมในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ถือว่าน้อยที่สุดหลังเล่นไป 9 เกมนับตั้งแต่ปี 2005
ที่มา: soccersuck