The special “หงส์” หาย 11 ตัวยังแซง

The special “หงส์” หาย 11 ตัวยังแซง

ความขลังสุดๆของ ลิเวอร์พูล ยุคเยอร์เก้น คล็อปป์ คือเมื่อใดก็ตามที่คุณถูกส่งลงสนามต่อให้ชื่อชั้นไม่ใช่ระดับพรีเมียมคุณจะมีพลังวิเศษมากกว่าไปเล่นให้ทีมอื่น

การคัมแบ็คเหนือ ฟูแล่ม หลังพลาดโดนนำก่อน (อีกแล้ว) ในสภาพที่ตัวเจ็บและติดภารกิจทีมชาติสามารถจัดได้อีก 1 ทีมคือหลักฐานชิ้นสำคัญ

แต่ละตัวที่ “หงส์แดง” เสียไปล้วนแล้วแต่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เทรนต์ (ตัววางยาว/สวิชบอล), โม ซาลาห์ (ตัววิ่ง,ตัวจ่ายและพักบอลได้ทุกระยะ) และ วาตารุ เอนโด (รักษาบาลานซ์รุก/รับ)

ไม่ว่าทีมไหนเสีย ace ระดับตัวเอ้ไปพร้อมๆกันแบบนี้ทีมยวบหนักแน่นอนแต่ ลิเวอร์พูล กลับพลิกชนะ ฟูแล่ม ชนิดที่เรียกว่าชนะใจแฟนบอลทุกคนจริงๆ

คอเนอร์ แบร๊ดลีย์ แจ้งเกิดเต็มตัว, โจ โกเมซ แข้งสารพัดประโยชน์ขวาธรรมชาติซ้ายสิ่งแวดล้อมและการลงมาพลิกเกมของตัวสำรองไม่ว่าจะเป็น โคดี้ กัคโป้ + ดาร์วิน นูนเญซ

อย่างไรก็ตามเจ้าถิ่นไม่ควรทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อะไรเช่นนี้เลย เรียนตามตรงว่าน่าเบื่อฉิบหายที่ต้องเป็นฝ่ายตามหลังจากการถูกยิงหนแรก (อีกแล้ว) แถมพลาดเองด้วย

เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ มีชั่วโมงบินเยอะมากพอที่ต้องรู้ว่าการโหม่งเคลียร์จากหน้าเขตโทษต้องให้โด่ง (ซื้อเวลา) และออกด้านข้างๆ (มีโอกาสจะนัวเนียเสีย/ได้ทุ่ม)

แกก็ทำแบบนี้ประจำนะแต่ไหงเกมนี้ติด BUG เฉย!!

“พี่ยักษ์” โชว์เก๋าโหม่งกลับเข้าเขตโทษตัวเองซะงั้น เพื่อนร่วมทีมแทบไม่มีใครตั้งตัวทัน โดนสิครับ

คือข้อเสียของนักเตะที่รู้ว่าตัวเองมีของจะติดประมาทอะไรแบบนี้เสมอ ถ้าเป็นดาวรุ่ง (ควอนซ่าห์) ส่วนใหญ่จะไม่คิดซับซ้อนคือเคลียร์ออกเขตอันตรายไปก่อนเลย

โอเคในฐานะที่ VvD เปรียบเสมือนศาสดาช่วยเหลือทีมมาเยอะ(และเพิ่งหายป่วย) ผมขอพูดถึงแค่นี้พอ

การโดนนำในวันที่ขาดตัวหลักไปเยอะขนาดนี้ผมเชื่อว่าหลายคนแอบกังวลอยู่พอสมควรดโดยเฉพาะ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เล่นไม่ได้เลย

น้อง link up กับ คอเนอร์ แบร๊ดลีย์ ไม่ค่อยดีนัก ตอนเสมอ 0-0 ยังพอถูไถแต่ตอนโดน 1-0 นี่สิครับ เจอบอลรับลึกไปกันหมดเลย

ผมไม่ชอบเวลาโดนคู่ต่อสู้นำแล้วนักเตะ ลิเวอร์พูล “หัวร้อน” วิ่งบ้าคลั่งขาดสติ มันเหนื่อยเปล่า วิ่งแล้วโดนเขาเคาะบอลหนีง่ายๆ ตอนรุกก็รีบร้อนเสียบอลบ่อยโดนสวนกลับโล่งๆอีกต่างหาก

นี่ไม่รู้ มาร์โก้ ซิลวา บอสใหญ่ “เจ้าสัว” ปิดห้องมืดเรียก คอร์โดวา-รีด ไปด่าตัวต่อตัวหรือยัง

เพราะผมกล้าพูดเลยว่าโมเมนท์ที่จะทำให้ “หงส์” คาบ้านคือจังหวะเพลย์นาที 62

คอร์โดวา-รีด หลุดขึ้นมาทางขวาโล่งๆโดยมี ราอูล ฆิมิเนซ วิ่งเข้าเขตโทษรอเข้าฮ็อร์ส ซึ่ง โกนาเต้ วิ่งประกบไม่ทันแล้ว

ถ้าคนที่ดูบอลบ่อยๆจะนึกภาพการปาดบอลแบบ early ฝั่งไกลให้ตัวแท็บอินวิ่งมายิงที่เสาสองใช่ไหมฮะ จ่ายแบบนี้ 100 ลูกเข้า 99 ลูก (ถ้าไม่ใช่ หนูน นะ หยอกๆ)

แต่แข้งวัย 30 ปีที่เกิดในอังกฤษแต่เลือกเล่นให้ทีมชาติ จาไมก้า เลือกยิงเองจากมุมที่ไม่ควรยิงก่อนถูก เคลเลเฮอร์ ปัดได้

หลังเหตุการณ์นี้ 6 นาที “หงส์” ตีเสมอจากลูกยิงแฉลบของ เคอร์ติส โจนส์ และอีก 3 นาทีต่อมา กัคโป ยิงแซง

จากนั้นมีการตัดภาพรีเพลย์ย้อนมาให้ดูจังหวะนี้เหมือนกำลังจะบอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมพร้อมทั้งสวิชภาพกลับไปที่ ซิลวา และทีมงานกระโดดเป็นจิงโจ้ที่ลูกทีมตัดสินใจเห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้

โชคดีสุดๆครับชาว “หงส์” เพราะ ฟูแล่ม เป็นทีมที่สวนกลับค่อนข้างมีรูปแบบและสูตรตายตัว จังหวะนี้ผมยังตะโกนบอก (หน้าทีวี )ให้ โกนาเต้ วิ่งเยอะๆมันปาดแน่ ขอบคุณจริงๆครับ

สุดท้ายนี้จังหวะซิตคอมลูกยิงแฉลบของ โจนส์ ที่ปลุกทำให้เจ้าถิ่นตื่นขึ้นมาทันทีถึงแม้จังหวะนี้ควรส่งก็ตาม (แต่กลายเป็นดี)

เครดิตช็อตนี้ยกให้ ดิโอโก้ โชต้า ซึ่งพลิกบอลเอาชนะตรงกลางสนามก่อนโชว์ปั๊มบอลแบบ เอนโด จนมาถึง โจนส์ ในที่สุด

ทุกๆครั้งที่ โชต้า ได้บอลเราสัมผัสได้ทันทีว่าเดี๋ยวมันต้องมีอะไรแน่ๆ บอลออกจากเท้าไม่ยิงเองก็จ่ายให้เพื่อนร่วมทีมมีลุ้นมากกว่าเสีย ขาดคนนี้ไม่ได้จริงๆ

ตัวเปลี่ยนเกมของแทร่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ impact สุดๆครับ แอสซิสต์ทั้ง 2 ลูกเน้นๆไม่พูดเยอะ เสียดายที่ไม่มีสกอร์ทั้งๆที่ แบร๊ดลีย์ ถวายพานมาให้สวยมากๆ

นัดก่อนผมชม แบร๊ดลีย์ ในแง่ของเกมรับไปแล้วแต่วันนี้เกมรุกในยามที่พี่ TAA เจ็บโดดเด่นไม่แพ้กัน

ช็อตแตะ “ดาก ” เรียกฟาว์ล ปาลญินญ่า ยังตราตรึงรวมถึงช็อตในครึ่งแรกที่ดักทางสกัด วิลเลี่ยน เรียกเสียงปรบมือจากเดอะ ค็อป

สิ่งที่ผมไม่ชอบสำหรับเกมนี้เลยคือการละครของ เปเรียร่า ที่พอเห็นรอบรองฯยังไม่ใช้ VAR แกจัดเต็มเข้าชิงออสการ์กันไป

ช็อต VvD ใช้ตัวบังบอลแล้วแรงเฉื่อยนิ้วปาดหน้าแค่เฉี่ยวๆแต่ลงไปนอนดิ้นราวกับโดนน้ำร้อนลวกจนกัปตันถูกใบเหลืองเล่นยากไปอีก

ผิดกับทาง วิลเลี่ยน เพื่อนร่วมทีมที่โดนในลักษณะคล้ายๆกันแกยังแค่ก้มหน้าแสดงอาการระคายเคืองเฉยๆไม่ได้เล่นใหญ่อะไรเลย

ยังไม่พอ…ครึ่งหลังโดนบอลอัดด้านหลัง (ที่เป็นส่วนหนา) ก็เห็นวิ่งไล่บอลต่อไม่มีอาการใดๆ พอบอลตายทิ้งตัวลงไปนอนซะอย่างงั้น พอผู้ตัดสินเป่าหยุดเกมให้ออกไปรอข้างสนามก็ทำโวยวาย

ศักยภาพฝีเท้าก็พอตัวนะแต่ไม่ควรลดเกรดตัวเองโดยไม่จำเป็นแบบนี้เลย โลกยุคนี้เขามีกล้องทุกมุมชัดระดับ HD ไม่อายคนอื่นก็ควรอายตัวเองบ้าง

ครับด้วยสกอร์ 2-1 ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอะไรมากนักแต่ในแง่แท็คติกส์ถ้าวางแผนดีๆ (และไม่พลาดกันเอง) ยังไงก็เข้าทาง ลิเวอร์พูล เนื่องจาก ฟูแล่ม เป็นทีมที่เล่นในบ้านใจใหญ่ได้เสียสุดๆ (ชนะ 6 แพ้ 4 ไม่มีเสมอ) เกมเปิดแลกแน่นอนครับ

ข้อได้เปรียบเดียวของ “เจ้าสัว” คือการวางโปรแกรมหลังจากนี้มากกว่าคือเด็กๆของ ซิลวา จะทำศึกลอนดอนดาร์บี้แมทช์กับ เชลซี วันเสาร์นี้ จากนั้นจะว่างยาวรอเตะกับ “หงส์” วันพุธที่ 24 เลย

นั่นหมายความว่าจะมีเวลาพักถึง 10 วันส่วน ลิเวอร์พูล จบจากเกมที่แอนฟิลด์คืนที่ผ่านมาพวกเขาจะเตะกับ บอร์นมัธ นู่นเลยครับอาทิตย์ที่ 21 และมีเวลาพักแค่ 2 วันก่อนเจอ “เจ้าสัว” เป็นโปรแกรมที่ไม่เอื้อกับ “จ่าฝูง” ซักเท่าไหร่

โรเตชั่นเกมเจอ บอร์นมัธ มากก็ไม่ได้ ฟอร์ม “เดอะ เชอร์รีส์” โหดมากครับคือก่อนแพ้ สเปอร์ส เมื่อปลายปีพวกพรี่ๆเขาชนะถึง 6 จาก 7 เกมและ โซลันกี้ เด็กเก่าหงส์ตีนออกแสงสุดๆ (12 ประตูจาก 19 เกม)

เอาเหอะจะว่าไปแล้วเจออุปสรรคนั่นนู่นนี่มาตลอดจนแฟนหงส์รับมือได้หมดแล้ว แค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ขออีกก้าวเดียวโอกาสเหยียมเวมบลีย์ลุ้นแชมป์รายการแรกของซีซั่นอยู่แค่เอื้อม…

สถิติ สถิติ สถิติ

หลังจบเกมนี้ นี่เป็นเกมที่ 7 แล้ว (ทุกรายการ) ในซีซั่นนี้ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่แข่งหลังโดนยิงนำไปก่อน เป็นทีมจากทุกดิวิชั่นของอังกฤษที่ทำได้มากที่สุดตลอดฤดูกาล 2003-04

แม้ลงสนามในนาที 56 ดาร์วิน นูนเญซ มีค่า xG สูงสุด (0.76), สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่งมากที่สุด (12), เลี้ยงผ่านมากที่สุด (3) และมีโอกาสยิงมากที่สุดร่วม (4) รวมถึงมีส่วนร่วมกับ 2 ประตูที่ทีมทำได้อีกด้วย

“หงส์แดง” ใช้ทีเด็ดจากตัวสำรองในฤดูกาลนี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหลังมีส่วนร่วมมากถึง 30 ประตูในทุกรายการ (15 ประตู,15 แอสซิสต์) มากกว่าทีมอื่นๆถึง 12 ลูก โดย 7 จาก 30 มาจาก “หนูน” (ยิง 3 จ่าย 4) และยังทำให้พรี่เขามีตัวเลขที่มากกว่านักเตะคนอื่นๆในลีกอีกด้วย

โคดี้ กัคโป ยิงประตูทั้ง 4 ลูกจาก 4 รอบที่ ลิเวอร์พูล ลงเล่นในรายการนี้ ทำให้แข้งทีมชาติเนเธอร์แลนด์เป็นนักเตะ “หงส์” คนแรกที่ยิงประตูทุกรอบนับตั้งแต่ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ทำได้เมื่อปี 2000-01

ในวัย 35 ปีกับอีก 154 วันทำให้ วิลเลี่ยน เป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ยิงประตูใน ลีกคัพ รอบรองชนะเลิศนับตั้งแต่ แฟร์นานดินโญ่ เคยทำไว้กับ แมนฯซิตี้ เมื่อปี 2021 (35 ปี 247 วัน)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด