ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น! ‘บังยี’ ฟุ้งเคยทำมูลค่าไทยลีกสูงถึง 6 พันล้าน

“THAI SPORT PLUS” จัดงาน “โชว์วิสัยทัศน์ สู่อนาคตบอลไทย” เชิญผู้สมัครนายกบอลร่วมดีเบต ขาด “มาดามแป้ง” ติดภารกิจ ด้าน “บังยี” อดีตเมมเบอร์ฟีฟ่า ลั่นมูลค่าฟุตบอลลีกไทยตัวเองเคยทำไว้สูงถึง 6,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

THAI SPORT PLUS โดย บริษัท อัพไลท์ สปอร์ต จำกัด ร่วมกับ สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย โดย “นายกเหม็น” ไพฑูร ชุติมากรกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และนายกสมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงวิสัยทัศน์เกี่ยวิสัยทัศน์กับฟุตบอลไทยของผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ในงาน “โชว์วิสัยทัศน์ สู่อนาคตบอลไทย” ที่ห้องประชุม อโนมา 3 โรงแรม อโนมา แกรนด์ เมื่อวันพุธ 31 ม.ค.67 โดยงานนี้ไม่มี “มาดามแป้ง”นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หมายเลข 1 ที่ติดภาระกิจ

“บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตเมมเบอร์ฟีฟ่าและอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลที่มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ด้วยเปิดเผยว่า “จริงๆรากฐานฟุตบอลปัจจุบันเราดีอยู่แล้ว สมัยก่อนผมเล่นฟุตบอล ธ.กรุงเทพ ได้ค่าแรงวันละ 60 บาท ซ้อมเสร็จ เซ็นชื่อรับเงิน ทำไมผมถึงบอกว่ารากฐานปัจจุบันดีอยู่แล้ว ซึ่งผู้บริหารปัจจุบันต้องมีความรู้และความสามารถ สำคัญคือความรู้และความสามารถ สมัยที่ผมเป็นนายก ส.บอลฯ ผมทำให้ฟุตบอลไทยมีสิทธิประโยชน์หลักพันล้านบาทได้ ผมบริหารฟุตบอลทั้งระบบจน ทรูวิชั่นส์ ขอต่อสัญญา ทั้งชุดแรก 1,800 ล้านบาท และอีกชุดคือ 4,200 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท”

“ผมชอบผู้สมัครทุกๆ ท่านที่ได้เสนอตัวมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯในตอนนี้ ฟุตบอลมันมีเรื่องหลักอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องทีมชาติไทยทุกระดับ และ 2.ฟุตบอลลีกอาชีพ ซึ่งผมโชคดีที่ผมเป็นผู้บริหารเอเอฟซีรวมถึงเมมเบอร์ฟีฟ่า ก็เอาความรู้ในเรื่องตรงนั้นมา ถ้าฟุตบอลลีกจะต้องจัดโครงสร้างใหม่ ต้องตั้ง บ.ไทยพรีเมียร์ลีก และ โครงสร้างของสโมสรที่ทำให้เป็นสโมสรแบบนิติบุคคล เป็นรูปแบบอาชีพ”

“พูดถึงทีมชาติไทย ตอนนี้ผมว่าเขาพร้อมหมดแล้วนะครับ เด็กทีมชาติสมัยก่อนเล่นได้ครึ่งเดียว ครึ่งหลังลงมาหมดแรงแล้ว เดี่ยวนี้มันเป็นฟุตบอลอาชีพหมดแลเว เด็กพร้อม โค้ชพร้อม ผู้บริหารก็ต้องพร้อมเหมือนกัน เงินสิทธิประโยชน์ที่สมาคมหามาได้ ก็ต้องส่งกลับไปสู่พวกเขาเหมือนกัน เงินพวกนี้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ต้องกลับไปให้เขาก่อน แต่ปัจจุบันผมไม่เข้าใจว่า ผมทำรายได้มาให้ที่รวมๆ 6,000 ล้านบาท โดยเฉพาะปี 2563 ที่เป็นปีที่ได้ 1,200 ล้านบาท แต่ปัจจุบันไม่มีเงินกลับไปสู่สโมสร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฟุตบอลมันถอยหลังไปได้ยังไง”

ด้าน “นายกเหม็น”ไพฑูร ชุติมากรกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และนายกสมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า “เสียดายอิชิอิมาช้าไป ถ้ามีเวลา เราก็จะไปได้ไกล มีคัดบอลโลก 4 เกมที่เหลือ ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งนายก ส.บอล ในวันที่ 8 ก.พ.67 จะเป็นยังไง แต่ก่อนอื่นผมขอชื่นชมทุกๆท่าน ทุกคนมาลงก็รู้สภาพว่าจะเป็นยังไง น่าจะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะกร่อยที่สุด เพราะทุกคนรู้ว่าเต็ง1 คือใคร”

“แต่ผมติดใจคำพูดที่เคยมีข่าวไปว่า ผมเข้ามามีกุญแจดอกเดียว เปิดเข้าไปไม่มีอะไรเลย แต่จริงๆ ก็ไม่น่าใช่ แต่ผมว่าคุณวรวีร์ทำไว้เยอะแล้ว เปิดเข้าไป เหมือนหุงข้าวแล้ว ตักกินอย่างเดียว ศูนย์ฝึกฟุตบอลสึนามึ ทาง ส.บอล ก็ไม่ได้สานต่อ โรงเรียนบ้านอ่าวน้ำบ่อ ภูเก็ต เขาก็เอาไปดูแลต่อเอง”

“ผมทำงานมาตั้งแต่ 2528 ปีหน้าครบ 40 ปี คุณสมบัตินายกฟุตบอล ก็ต้องมี 1.ต้องมีเงินก่อน , 2.ต้องมีใจรัก , 3.คุณต้องถามตัวคุณเองว่าคุณชอบฟุตบอลหรือเปล่า ประเภทเสียงดังตังไม่จ่าย ก็หนีไปเถอะ , 4.ประสบการณ์ในกีฬาชนิดนั้นๆต้องมี , 5.ต้องมีอิสระในการทำงสาน ฟุตบอลต้องอยู่นอกเหนือการเมือง ผู้ตัดสินถ้าปลอดการเมืองก็จะเป็นอิสระ และ 6.ผู้นำคนใหม่ของ ส.บอลฯ จะต้องเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นได้ ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ต้องหนักแน่น ไม่ใช่วันนี้ฟังคนนี้ อีกวันไปฟังอีกคน ไม่ใช่ตามอารมณ์ มันต้องหนักแน่น”

“ผมจำได้ พ.ศ.2559 เปิดตัวผู้บริหารที่พูลแมน คาดหน้าอก FAIR ยุคผมต้องโป่งใส เปิดเผยได้หมด จากวันนั้นถึงวันนี้สักสลึงนึงเปิดเผยได้ไหม ต้องบอกว่าฟุตบอลคือกีฬาโคตรมหาชนจริงๆ”

“คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในภาคการเมืองประเทศ ก็พร้อมที่จะดูแลฐานรากพีรามิดฟุตบอล เรื่องฟุตบอลไทยลีก3 จำเป็นต้องช่วย ไม่ใช่ให้เตะ 4 เดือนแล้วจบ ภาครัฐก็พร้อมอุ้มลีกรากหญ้า”

“นายกเหม็น” ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า “ถ้าผู้นำมีความโปร่งใส เคลียร์ได้ FAIR จริงๆ ผมว่า หมื่นล้าน ยังหาได้เลย”

ด้าน วรงค์ ทิวทัศน์ ผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หมายเลข 2 เปิดเผยว่า “ผมอยู่ในวงการมา 37 ปี ผมตัดสินใจออกมาจากการทำงานของผู้บริหารชุดนี้เพราะจากเกมที่ทีมชาติไทยไปอุ่นเครื่องที่ยุโรป กับ จอร์เจีย และ เอสโตเนีย เพราะผมรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกหลังจากที่ฟุตบอลจบลงมันรู้สึกหดหู่ เราสู้ไม่ได้แบบสู้ไม่ได้จริงๆ บอลไทยมันด้อยขนาดนี้เลยหรอ เราก็เลยย้อนไปดู 7 ปีที่ผ่านมา ในแง่ของการพัฒนาเรื่องของฟุตบอลลีกอาชีพ เราต้องแก้แบบแก้จริงๆ ไม่ใช่แก้แบบค่อยๆแก้ ไม่ใช่เอาเนื้อหนู ไปแปะแผลช้าง เราต้องเปลี่ยนช้างไปเลย”

“พอลลีน” พยุริน งามพริ้ง ผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หมายเลข 3 เผยว่า “เราอยากจะเห็นฟุตบอลในอุดมคติเป็นยังไง เราอยากเห็นการบริหารฟุตบอลในอุดมคติเป็นยังไง นี่คือเหตุผลที่พอลลีนต้องลงสมัครครั้งนี้ ฟุตบอลก็เหมือนบ้านหลังนึงที่มีเสา 3 ต้น ความรู้ฟุตบอล-ความรู้ธุรกิจ-ความรู้องค์กรต่างประเทศ ฟีฟ่า และ เอเอฟซี เสา 3 ต้น นี่คือที่มาสู่การนำความสำเร็จมาสู่ฟุตบอลไทย อยู่รอดของคนวงการ เมื่อเรามีอุดมคติ เชียร์มาตั้งแต่อายุ 12 ปี ทำไมยังไม่ไปไหนสักที ทำงานเกี่ยวกับฟุตบอลมามาก ทำตั้งแต่ไปร่วมบริหารสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแข่งขันเอเอฟซี แชมป์เปี้ยนส์ลีก รวมถึงเชียร์ไทยเพาเวอร์ ต่างๆ”

“คนไม่มีเงินจะหาเงินยังไง ถ้าเราจะขยายมูลค่าต้องทำยังไง ก็ต้องขยายฐานแฟนบอล ขยายดาต้าเบต ก็เพื่อนำไปขอสปอนเซอร์ เราต้องสร้างฟุตบอลฮับ ขายของไปทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาเยาวชน แต่จะทำยังไงให้มันเป็นกลไกที่ถาวร ไม่ใช่แค่สร้างศูนย์ฝึกอย่างเดียว ต้องทำให้เป็นกลไก ไม่ใช่เป็นโปรเจค เพราะโปรเจคจะหายไป แต่กลไกยังคงอยู่”

“วงการฟุตบอลไม่ได้มีแค่ 2 ขั่ว หลายคนอยากให้สลายขั่ว ถ้าเราบอกฟุตบอลมี 2 ขั่ว และถ้าใครจับ 2 ขั่วนี้ได้ ก็จะเป็นนายกฯ ปัญหามันก็จะไม่จบไม่สิ้น แต่เราเป็นทุกขั่ว เราจะทำงานเพื่อประชาคมฟุตบอลทุกขั่ว ทำงานแบบไม่เกรงใจใคร ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง”

ยุทธนา ทวีสรรพสุข ตัวแทน ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ ผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หมายเลข 4 ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเคารพรักพี่ตุ๋ย ธนะศักดิ์ สุระประเสริฐ พี่ตุ๋ยเขาอยากสานต่อเรื่องการสร้างศูนย์ฝึก และไม่มีที่ดินที่ไหนใกล้กรุงเทพเท่าที่ จ.สมุทรปราการ ที่มีที่ดิน 400 กว่าไร่เพื่อมาสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอล ตรงนี้พี่ตุ๋ยก็อยากที่จะมาสานงานต่อ ผมคลุกคลีกับสมาคมชุดนี้มาก ผมไปดีลกับพี่อ๊อดตอนสร้างศูนย์ฝึก ม.กรุงเทพธนบุรี ปัญหาคือ พี่อ๊อด ไม่มีความรู้เรื่องฟุตบอล ทีมงานบอกผิดบอกถูก รวมถึงเรื่องกรรมการ ที่ทุกวันอาทิตย์จะมาทดสอบกันที่ ม.กรุงเทพธนบุรี แต่ปัญหาก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ เอาใจนักการเมือง เอาแต่พรรคพวกตัวเอง ประธานผู้ตัดสินไม่เคยรู้เรื่องฟุตบอล ไม่เคยมาสนาม รวมถึงคณะวินัยมารยาท คุณอำนวยแบบนี้ การเมืองมาครอบงำฟุตบอล มันก็เลยทำให้ฟุตบอลไทยไม่เจริญ อยากจะบอกถึงนายกคนใหม่ ไม่อยากให้อยู่ใต้การถูกครอบงำ อย่าไปเกรงใจ ฟุตบอลไทยตอนนี้มันต้องเดินไปข้างหน้า ผมอยู่มาจะเกือบๆ 40 ปี”

“ยุคพี่อ๊อด ผมมีผลประโยชน์กับแกมาก แต่ผมก็วิจารณ์แกหนัก วันนี้ถ้าฟุตบอลไทยเดินต่อไม่ได้ พวกคุณก็ไม่มีงานทำ ต่อจากนี้ฟุตบอลไทยจะโปร่งใส คำว่า FAIR มันหมดไปแล้วเมื่อ 4 ปีที่แล้วของพี่อ๊อด เพราะมันไม่ FAIR กันแล้วเดี่ยวนี้ 4 ปีข้างหน้า เราอาจจะได้เห็น เบอนาบิว ที่ จ.สมุทรปราการ ที่มีความจุ 100,000 ที่นั่ง ก็เป็นได้”

“อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ บ.ไทยลีก สำคัญมากๆ ถึงตรงนี้คุณต้องประกาศมาแล้วว่า ใครจะเป็น เลขาฯ รวมถึง ปธ.ไทยลีก อีกทั้งนายกคนใหม่ ต้องเปิดให้เห็นสัญญาที่ยุคเก่าเซ็นไว้ 8 ปีกับบริษัทนี้ เพื่อให้เห็นถึงค่าลิขสิทธิ์ใครได้เท่าไหร่ ยังไง โดย 4 ปีหลังของพี่อ๊อด ไม่มีการเปิดเผย”

ขณะที่ คมกฤช นภาลัย ผู้สมัครนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หมายเลข 5 เปิดเผยว่า “ทำไมผมถึงมาสมัครครั้งนี้ คือเราต้องเสริมจุดแกร่ง และลบจุดด้อย หลายๆคนที่พูดคุยกัน ผมยังเห็นว่า เขาไปคุยกันที่ปลายยอด ไทยลีกจะเติบโตยังไง บอลไทยจะไปบอลโลกยังไง กีฬาจะเติมโตได้ยังไง สำหรับผมคือรากฐานคือสิ่งสำคัญ ผมเน้นเรื่องเยาวชนมากๆ โดยเฉพาะเรื่องยูธลีกที่ทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้น บางสนามไปถึงไม่มีแข่ง ยิ่งเป็นฟุตบอลนักเรียน กรมพลศึกษาไม่จัดฟุตบอลนักเรียน 14 ปีบ้าง นี่คือบ้านเรา”

“ผมสมัครครั้งนี้ผมไม่เคยโทรไปหาสโมสรใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยขอเสียง เพียงแค่อยากใช้เวทีนี้สื่อไปถึงคนทำฟุตบอล ให้ความสำคัญกับการพัฒนาฟุจบอลเยาวชนให้มากขึ้น แค่อยากจะสื่อถึงตรงนั้นมากกว่า เราเคยไปเยาวชนโลกมาแล้ว”

“คอมเพนเซชั่น ผมจะเอาระบบนี้มาใช้ คือการขึ้นทะเบียนนักฟุตบอลเยาวชนทั่วประเทศเอาไว้ในระบบนี้ ซึ่งเป็นการตอบแทนการคืนสู่รากหญ้าอย่างแท้จริง นี่คือระบบที่จะทำให้การคืนมูลค่าสู่รากหญ้าของเรา หากนักฟุตบอลคนนั้นมีการซื้อขายเกิดขึ้น”

“อีกหนึ่งเรื่องคือเรื่องผู้ตัดสิน เราต้องแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ผมไปเอาตัวอย่างมาจากอิตาลีที่แยกอิสระชัดเจน แต่ผมก็มองว่าน่าจะต้องใช้เวลา 4 ปี เพื่อแยกออกมา รายได้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ผู้ตัดสินจะเป่าให้มีจรรยาบรรณ”

“ฟุตบอลไทย ก็เหมือนเดิม 8 ปี ย้อนหลัง ผู้บริหารก็จะมองแต่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่งคือการไปแก้ข้อบังคับ ผมบอกเลยว่า วันที่ 8 ก.พ.67 อาจจะเป็นวันที่ต้องจาลึกไว้ เพราะ กกต. ทำผิดข้อบังคับ โดยเฉพาะการที่จะต้องให้สิทธิ์สโมสรที่ขึ้นทะเบียนไว้เกือบ 500 สโมสร ได้มีความเท่าเทียมกันด้วย ไม่ใช่แค่ให้ 40 กว่าสโมสรที่จะมีการประชุมรับรองในช่วงเช้าก่อนการเลือกตั้ง”

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด