แดงเดือดสุด classic ผีลงโทษหงส์เจ็บแสบ
การแพ้ฟุตบอลซักนัดถ้าเกิดขึ้นอย่างในเกมที่ แมนฯยูฯ เล่นได้ดีขนาดนี้ยอมรับเลยว่ามันช่วยลดทอนอารมณ์ความเสียดายไปได้เยอะจริงๆ
มันแตกต่างจากฟีลที่ว่าแพ้ได้ไงวะหรือเหนือกว่ามิดด้ามแต่แพ้ซะงั้น ถ้าออกทรงนี้คือคาใจนอนไม่หลับแน่ๆ
แต่เกมแดงเดือดที่สกอร์อลังการ 4-3 มันไม่ใช่แบบนั้น
เราเห็นตั้งแต่เขี่ยบอลแล้วว่า “ปีศาจแดง” แสดงความต้องการปลดเปลื้องพันธนาการจากการแพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้าน 5-0 และที่แอนฟิลด์ 7-0 มากแค่ไหน
พลิกสถานการณ์จากโดน “หงส์” เล่นทีเผลอยิง 2 ลูกใน 3 นาทีในช่วงท้ายครึ่งแรกกลับมาเป็นผู้ชนะและคว้าตั๋วตัดเชือกเอฟเอ คัพไปต่อหน้าต่อตา
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล มีช่วงเวลา golden hour ตอกฝาโลงตอนสกอร์นำ 2-1 หลายต่อหลายครั้งซึ่งเป็นช่วงที่ ยูไนเต็ด ดันเกมรุกโหมจะเอาประตู
เยอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับยอมรับว่าลูกทีมเขาทำตัวเองกับการ leave the door open
คือแง้มประตูรอให้ “ปีศาจแดง” เปิดมา “แฮร่!!” และก็โดนจริงๆ
การที่คุณหลุดเป็นแผงขึ้นมา 4-5 ตัวและคู่ต่อสู้เหลือแค่ 2 คล้ายๆที่เจอ อาร์เซนอล แต่ครั้งนี้หนักว่าตรงที่ไม่ได้ง้างเท้ายิงอะไรเลย แบบนี้คุณจะไปโทษหรือเรียกร้องอะไรจากใครได้?
ที่สำคัญตอน “หงส์” นำ 2-1 และบีบให้ทีมเยือนเป็นฝ่ายไล่บอล ตรงนี้คือรูปแบบการเล่นที่ลูกทีม ETH และแฟนบอลเกลียดที่สุด
ยิ่งไล่ยิ่งหลวมยิ่งดันหลังยิ่งเปิดแต่ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ฉกฉวยพรมแดงที่ปูเอาไว้ได้แม้แต่ลูกเดียว
ตรงกันข้ามดันเผลอปล่อยให้ แอนโทนี่ ที่ถูกรายล้อมอยู่ 2-3 คน “หมุน” ตัวยิงด้วยขาขวาที่ว่ากันว่าเอาไว้ยืนเยี่ยวเข้าไปต่อหน้าต่อตา
และดันเป็นนาทีบาป 87 โมเมนตั้มอารมณ์ของเกมและของผู้เล่นเปลี่ยนพลิกฝ่ามือไปหมด
จริงๆ “ปีศาจแดง” น่าจะเช็กบิลใน 90 นาทีได้ด้วยซ้ำถ้าลูกหลุดเดี่ยวของ แรชฟอร์ด ลูกนั้นแปเสาไกลเข้าไป
นับตั้งแต่สกอร์ 2-2 เป็นต้นมา เกมของ แมนฯยูฯ ข่มเกือบข้างเดียวโดยที่ ลิเวอร์พูล ลดความอันตรายลงอย่างเห็นได้ชัด
ผมไม่เข้าใจว่า “เร้ดอาร์มี่” เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรถ้าจะบอกว่านักเตะ “หงส์” แจก 2 ลูกสุดท้ายหรือกลัวคนจะมองว่าที่ชนะเพราะไม่ฝีมือ?
ไม่สิครับ ไม่มีใครพราก credit ในความใจสู้หรือความกระหายในชัยชนะที่มันสะท้อนถึงการยิงแซงไปได้แน่ๆ
ดาร์วิน นูนเยซ ลงมาช่วยเกมรับและเลือกเล่นท่ายากด้วยการจ่ายบอลเข้าในทั้งๆที่ ดิยาโล่ ยืนแทบจะไม่ห่างและรอดักอยู่ ท่าทางของ “หนูน” ดูง่ายเหลือเกินว่าจะจ่าย
ทางเลือกที่เซฟที่สุดและง่ายที่สุดคือคืนหลังให้ ซิมิคาส ที่ยืนรออยู่และตัวเองก็ค่อยๆวิ่งกลับไปประจำตำแหน่ง เป็นเพลย์ที่ควรเล่นในเวลาสำคัญเช่นนี้
เช่นเดียวกับ เอนโด และ เอลเลียตต์ ไปกั๊กจังหวะกันเองจนถูก ดิยาลโล่ ฉกตั้งแต่หน้าประตู ยูไนเต็ด โดยต้องรับรู้อย่างนึงว่าหลังลอยเหลือแค่ตัวเดียวแล้ว
เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นทั้ง 2 ลูกแถมเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวใดๆ ตรงนี้ต่างหากที่ผมต้องการจะสื่อ
ใดๆก็แล้วแต่ต้องยอมรับว่า แมนฯยูฯ ฉวยโอกาสที่ว่าทั้ง 2 ช็อตเปลี่ยนเป็นประตูได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ
นอกจากนี้ อาหมัด ดิยาโล่ ตัวสำรองที่ลงสนามในนาที 85 มีส่วนกับทั้ง 2 ประตูเป็นการเปลี่ยนตัวที่ impact เหลือเกิน
สำหรับแฟน “หงส์” ที่ตำหนิ JK ที่ตัดสินใจเปลี่ยน โม ซาลาห์ ออกคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกมรุกหายไปแทบจะทันที
ผมอยากร่วมวงสนทนาด้วยนะแต่เราลืมกันไปแล้วเหรอครับว่า โม หายเจ็บกลับมาซ้อมฟูลๆได้ไม่นานและต้องเล่นกับ สปาร์ตัก ปราก ถึง 90 นาทีเต็ม (จากการผิดแผนที่ คล้าก เจ็บต้องอยู่ครบทั้งเกม)
ดังนั้นผมว่าการตะบี้ตะบันในเกมแดงเดือดถึง 77 นาทีเป็นการขอมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับนักเตะที่เพิ่งไต่ระดับความฟิต
ไม่เข็ดกันเหรอครับที่ โม เคย “ผิดแผน” ครั้งแรกลงแทน โชต้า ตั้งแต่นาที 44 ในเกมชนะ เบรนท์ฟอร์ด 4-1
จบเกมนั้นอาการเจ็บเรียกหาทันที ดังนั้นผมเข้าใจ JK ที่ตัดสินใจถอดออก ไม่งอแงกันเนอะ
ครับผลการจับฉลากรอบตัดเชือกออกมาพอดี เส้นทางสู่รอบชิงและลุ้นแชมป์รายการเดียวที่เหลืออยู่ของ “ปีศาจแดง” โคตรเป็นใจเมื่อได้ โคเวนทรี เป็นคู่ต่อกร
ปล่อยให้ แมนฯซิตี้ กับ เชลซี ตัดกำลังฆ่ากันเอง
การเข้าชิงฟุตบอลซักรายการ เมื่อคุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะแม่ง over the moon โคตรๆ เริงร่าได้ทั้งอาทิตย์แต่ถ้าแพ้เมื่อไหร่มันเจ็บยิ่งกว่าร่วงในรอบอื่นๆไม่รู้กี่เท่า
ถึงมีคำพูดที่ว่าทุกความสำเร็จมันมีความเสี่ยง ทุกๆทีมต้องเสี่ยงก่อนถึงจะก้าวถึงยอดภูเขา
ไม่ว่าใครทีมไหนได้แชมป์เอฟเอ คัพแต่อย่างน้อยทั้ง แมนฯยูฯ และ ลิเวอร์พูล ได้ร่วมกันสร้างแมทช์ “แดงเดือด” ในตำนานสุด classic ที่จะถูกรีรันไปอีกหลายปีไปเรียบร้อยแล้วครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ เขี่ย ลิเวอร์พูล ตกรอบ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 11 มากที่สุดเป็นอันดับ 2 สำหรับการเอาชนะคู่ต่อสู้ทีมเดียวกันในรายการนี้โดยที่ 1 ได้แก่ ลิเวอร์พูล ที่โค่น เอฟเวอร์ตัน มากถึง 12 หน
อาหมัด ดิยาโล่ กลายเป็นนักเตะ แมนฯยูฯ คนแรกที่ยิงและถูกไล่ออกในเกมเดียวกันนับตั้งแต่ เนมันย่า มาติช เคยทำไว้ในเกมลีก คัพ รอบรองชนะเลิศกับ แมนฯซิตี้ เมื่อปี 2020
ลิเวอร์พูล ทำประตูจากตัวสำรองเป็นลูกที่ 23 ในทุกรายการฤดูกาลนี้ (ไม่นับ OG.) นับเป็นทีมที่ทำได้มากที่สุดใน 5 ลีกหลักยุโรปประจำฤดูกาล 2023-24
โม ซาลาห์ ยิง 13 ประตูใน 14 เกมที่พบ แมนฯยูฯ นับตั้งแต่ โม ย้ายมา ลิเวอร์พูล ไม่มีนักเตะคนไหนทำประตู้ใส่ทีมเดิมได้มากไปกว่าเขาอีกแล้ว (เท่า แฮร์รี่ เคน ที่ยิง เอฟเวอร์ตัน 13 ลูก)
ที่มา: soccersuck