บรูโน่ แฟร์นานเดส: Dear United…

บรูโน่ แฟร์นานเดส เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม โดยเกิดขึ้นก่อนการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

สำหรับเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงดำ ได้บทสรุปไปแล้ว เป็น “ปีศาจแดง” ที่เฉือนชนะ “เรือใบสีฟ้า” ไปแบบหวุดหวิด 2-1 ทำให้ แฟร์นานเดส ได้ชูถ้วยในฐานะกัปตันทีมสำเร็จ อย่างไรก็ตาม มีบทความที่น่าอ่านของเขา ถูกเปิดเผยออกมาทางเว็บไซต์

ThePlayersTribune.com

“ถึงแฟนบอลของพวกเราทั่วโลก

ผมอยากจะพูดบางอย่างจากหัวใจก่อนการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ฤดูกาลที่ง่ายสำหรับพวกคุณเลย พวกเราไม่ได้ทำผลงานตามมาตรฐานอย่างที่พวกคุณคู่ควร เราไม่ได้ทำหน้าที่ได้ทัดเทียมกับแรงสนับสนุนที่พวกคุณแสดงออกมาให้เราเห็น ในฐานะกัปตันทีม ผมรู้สึกมากกว่าคนอื่น ๆ และมันก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่ผมมองเป็นเรื่องเล่น ๆ

สโมสรแห่งนี้เป็นมากกว่าบางอย่างที่ผมจะประดิษฐ์คำพูดสวย ๆ ลงทางโซเชียลมีเดีย มันคือบางอย่างที่ผมแคร์เป็นอย่างมาก

ผมจะไม่มีวันลืมตำแหน่งที่ผมเคยอยู่ตอนที่ผมได้รับโอกาสให้มาที่นี่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมยืนอยู่ในห้องแต่งตัวในห้องนอนของพวกเราที่ลิสบอน เอเยนต์ของผมโทรศัพท์มาหาตอนประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นลูกสาวของผมเพิ่งจะอายุ 3 ขวบ ดังนั้นมันจึงเป็นเวลานอนของพวกเรา ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวเล็ก ๆ จะได้ไม่มีเสียง ผมบอกกับเอเยนต์ของผมมาตลอดอาชีพการค้าแข้ง ‘ฉันไม่อยากฟังเรื่องการย้ายทีมจนกว่ามันจะเป็นจริง 100% ฉันไม่ต้องการไขว้เขวเว้นแต่ว่าจะมีข้อเสนอเข้ามา’

ดังนั้นผมรู้เลยว่าถ้าเขาโทรหาผมเวลานั้น มันมีบางอย่างเกิดขึ้น

ผมปิดประตูและรับสายว่า ‘มิเกล? ว่าไง?’

เขาพูดว่า ‘นายพร้อมฟังข่าวหรือยัง?’

ผมตอบว่า ‘เกี่ยวกับอะไรเหรอ?’

“เกี่ยวกับการ

ย้ายทีม

“ย้ายไปไหน? สเปอร์สเหรอ?”

“ยูไนเต็ด”

“นายล้อเล่นหรือเปล่า?”

“ไม่ ไม่เลย ฉันพูดจริง ยูไนเต็ด มันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับนาย นายอยากทำยังไง?”

ผมไม่ตอบเขาด้วยซ้ำ ผมพยายามกลั้นน้ำตา คุณเข้าใจความรู้สึกเวลาที่คุณพยายามกลั้นน้ำตา เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าคุณกำลังร้องไห้ แล้วคุณก็พูดอะไรไม่ออกไหม?

เขาพูดว่า ‘บรูโน่? บรูโน่? ฮัลโหล?’

ในตอนนั้น อันนา ภรรยาของผมเดินเข้ามาหาผมในห้องนอน

“บรูโน่??? บรูโน่???”

เธอเปิดประตูเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมาอยู่ในห้องแต่งตัวล่ะ?”

ผมตอบว่า “มิเกลน่ะ เขาโทรมา เขาบอกว่ายูไนเต็ดต้องการตัวฉัน”

เธอพูดว่า “เดี๋ยวนะ… เธอร้องไห้เหรอ?”

ผมตอบเธอไปว่า “ไม่รู้เหมือนกัน! ฉันว่ามันคือความสุขนะ!”

(อันนาเป็นคนที่ไม่เคยร้องไห้ เธอเป็นหญิงแกร่ง ผมเป็นคนอ่อนไหว ผมรู้ว่าเธอกำลังอ่านอยู่ตอนนี้และหัวเราะเยาะผม)

คุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของผมนิดหน่อย ซัมเมอร์ก่อนหน้านั้น มันมีข่าวลือว่าสโมสรในพรีเมียร์ ลีกให้ความสนใจในตัวผม แต่ทีมเดียวที่ดูจริงจังคือท็อตแน่ม ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ๆ แต่ในตอนนั้น ผมรู้สึกตื่นเต้น หนึ่งในเป้าหมายในชีวิตของผมคือการได้มาเล่นในพรีเมียร์ ลีก ผมพยายามปิดกั้นข่าวลือทั้งหมด แต่ในยุคที่เราอยู่อาศัยกัน ทั้งโซเชียลมีเดีย โทรศัพท์ และการส่งข้อความ แน่นอนว่าเพื่อนของผมทำให้ผมรู้เรื่องข่าวลืออยู่แล้ว ในฐานะเด็กที่มาจากโปรตุเกส คุณทำอะไรไม่ได้นอกจากการมีความฝันเกี่ยวกับการลงเล่นในสนามขนาดใหญ่ที่อังกฤษ สุดท้ายแล้วสโมสรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ และดีลต้องล้มเลิกไป มันเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนนะ แต่ผมก็มีความสุขมาก ๆ ที่สปอร์ติ้งอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ถึงความรักของแฟนบอล สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่วิเศษสำหรับผม แต่ว่ามันไม่ใช่โชคชะตาของผม

ไม่กี่เดือนผ่านไป ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นขึ้น และผมก็พยายามปิดกั้นพวกข่าวลือต่าง ๆ ออกไปจากตัว ดังนั้นเมื่อเอเยนต์โทรศัพท์มาหาผมในเดือนมกราคม ผมค่อนข้างตกใจตอนที่เขาบอกว่า “ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันพูดจริง ยูไนเต็ด นายอยากทำยังไงต่อ?”

ผมบอกอันนาไปว่า “ฉันรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตในความฝันกับการเล่นให้สปอร์ติ้ง แต่อันนี้… อันนี้มันมากกว่าฝัน นี่คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เอเยนต์ของผมยังอยู่ในสาย! ผมไม่รู้ว่าผมกด mute เขาไว้หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะยังพูดกับผมเกี่ยวกับเรื่องดีลนี้ และผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาเลย สุดท้ายผมพูดว่า “มิเกล?”

เขาตอบว่า “ว่าไง?”

ผมบอกว่า “เราจะย้ายไปยูไนเต็ด”

ผมวางสายแล้วก็กอดเมียของผม และร้องไห้ออกมาด้วยความสุข

อันนาอยู่กับผมมาตลอดเส้นทางนี้ ตั้งแต่พวกเราอายุ 16, 17, 18 ปี เราเจอกันตอนวัยรุ่น และตอนที่เราเริ่มเดตกัน ผมเองไม่ค่อยมีเงินจากการเป็นนักฟุตบอล และเธอก็มีงานที่ดีทำงานเป็นผู้ตัดสินเกมฟุตซอลสุดสัปดาห์ เธอมักจะทำหน้าที่ 3-4 นัดติดในวันเสาร์ แล้วจากนั้นพวกเราก็จะไปดูหนังกันในวันอาทิตย์ ส่วนตัวแล้วตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน ดังนั้นจึงเป็น อันนา ที่เป็นคนจ่ายค่าตั๋วให้พวกเรา เช่นเดียวกับการไปดินเนอร์ แม้กระทั่งในร้านพิซซ่าเธอก็เป็นคนออกเงิน ตอนที่ผมย้ายไปที่อิตาลีด้วยอายุ 17 ปี ปีแรกผมต้องพักอาศัยที่สนามซ้อม แล้วเธอก็ตามมาตอนที่อายุ 18 ปี ตอนที่เธอเรียนจบชั้นมัธยม พวกเราเดินตามความฝันนี้มาด้วยกันตั้งแต่วันแรก

ดังนั้นตอนที่ผมร้องไห้ออกมาด้วยความสุข มันเป็นเพราะประวัติทั้งหมดที่เรามีร่วมกัน

(อันนา ความทรงจำนี้เป็นของคุณ… จำได้ไหมตอนที่ผู้อำนวยการกีฬาของอูดิเนเซ่ โทรหาฉันตอนที่เรากำลังร่วมทานมื้อเย็นกับทีม และเขาแจ้งฉันว่าเขาไม่ต้องการฉันอีกต่อไปแล้ว? จำได้ไหมว่าเราต้องเดินออกจากมื้อนั้นอย่างอับอายเหลือเกิน? จำได้ไหมที่ฉันร้องไห้อยู่ในห้องพักที่โรงแรม? จำได้ไหมเธอบอกฉันว่าอะไร?

สู้ต่อไป นี่คือความฝันของนาย

มองดูตำแหน่งของพวกเราตอนนี้สิ… ช่วงเวลาที่ยากลำบาก มันไม่เคยทำลายพวกเราได้เลย

ตอนโตขึ้นมา ความฝันนี้เป็นเพียงทางเลือกเดียว ผมไม่มีแผนสำรอง ไม่มีความสนใจอะไรอย่างอื่น ตอนพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของผมคือการเป็นคนแรกที่จะวิ่งออกจากประตู เพื่อไปที่สนามฟุตบอลและ “จอง” มันเอาไว้ ก่อนที่เด็กโตจะไปถึง ตอนนี้ผมขำเวลาที่ได้เห็นเด็กสมัยนี้ คุยกันเรื่องแฟชั่นและกังวลว่าวันพรุ่งนี้พวกเขาจะใส่อะไรไปโรงเรียน เพราะว่าสิ่งเดียวที่ผมและเพื่อน ๆ ใส่ไปโรงเรียนคือกางเกงยีนส์กับรองเท้าฟุตซอล ทุกเที่ยงเราออกไปเตะบอลเปื้อนไปทั้งตัวโดยไม่สนอะไรสักนิด ผมจำได้ว่ามีคริสต์มาสปีหนึ่ง ผมได้รองเท้าฟุตซอลไนกี้ที่พวกเขาทำให้ ริคาร์ดินโญ่ (ถ้าคุณไม่รู้จักริคาร์ดินโญ่ ไปเปิด

YouTube

ดูด่วน ๆ) ผมใส่เตะบอลเล่นซะจนรองเท้าพังไม่มีชิ้นดี ไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่ในรองเท้าคู่นั้นแล้ว ขอให้มันไปสู่สุคติ

ถ้าแม่ของผมบังคับให้ผมอยู่บ้านด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ตอนนั้นผมจะนั่งเล่น Sega หรือว่า PlayStation ผมไม่ได้พูดถึงเกม FIFA ผมพูดถึงเกมคลาสสิก Championship Manager และ Pro Evolution Soccer

ฟาคู, โรแบร์โต้ ลาร์คอส, คาสโตโล่, โกโก้, มินานด้า พวกตำนานแห่งมาสเตอร์ ลีก ผมคุมทีม “แมน เร้ด” ไปคว้าแชมป์ ตอนที่ผมไม่ได้ออกไปเล่นบอลในสวนสาธารณะ

และเวลาที่ผมอยู่ในสวนสาธารณะ? นั่นคือสถานที่ที่ผมมีความสุขมากที่สุด

หนึ่งในสวนที่มีสนามหญ้าเทียมที่พวกเขาสร้างเป็นแห่งแรก ๆ ในโปรตุเกสอยู่ใกล้กับบ้านของผมในปอร์โต้ มันผสมกับทรายด้วย เราเรียกมันว่า “O Sintético” บางครั้งที่ผมกลับบ้านในสมัยนี้ ผมจะขับรถไปจอดที่นั่นเพื่อรำลึกถึงความทรงจำเก่า ๆ เวลาที่ผมเห็นคนเป็นพ่อเตะบอลเล่นกับลูกชายในสวน มันชวนให้ผมนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่พวกเราเคยมี – เราได้ทั้งเพื่อน ได้ทั้งศัตรู ได้แข่ง 5 ต่อ 5 ทุก ๆ อย่างที่คุณคิดถึงในอดีต สมัยที่คุณตะโกนออกมาว่า ‘วันนี้ข้าเป็นคริสติอาโน่!’ และเพื่อนของคุณสวนมาว่า ‘งั้นวันนี้ข้าเป็นเมสซี่! ข้าเป็นเดโก้! ข้าเป็นฟิโก้!’

รู้ไหม เวลาที่คุณตกหลุมรักเกมลูกหนัง? O Sintético คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

สักวันหนึ่ง เมื่อลูกชายของผมโตขึ้น ผมจะพาเขาไปเตะบอลเล่นที่นั่น

และในวันหนึ่ง อีกหลายปีต่อจากนี้ ผมหวังว่าเขาจะขับรถไปที่สวนแห่งนั้นในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง และเขาสามารถพูดออกมาได้ว่า “ที่นี่แหละ ที่ทำให้ฉันได้เจอเพื่อน ๆ”

หรือบางทีเขาอาจจะพูดด้วยซ้ำว่า “ที่นี่แหละ ที่ฉันเริ่มฝัน”

ในตอนที่ผมเป็นเด็ก เตะบอลเล่นในสนามที่มีพื้นทราย ผมมองภาพตัวเองว่าวันหนึ่งผมจะค้าแข้งให้กับยูไนเต็ด แน่นอนว่าเด็กทุกคนที่เกิดในโปรตุเกส ในยุคของ คริสติอาโน่ และในช่วงยูโร 2004 กับแชมเปี้ยนส์ ลีก 2008 อาจจะมีความฝันบ้า ๆ แบบเดียวกันนี้ แต่สำหรับผม… ผมจะพูดอย่างไรดีล่ะ? มันไม่ใช่เรื่องบ้า ผมมองว่ามันเป็นหนึ่งในขั้นบันไดของการเดินทางที่ยาวไกล การเดินทางที่ไกลมาก ๆ แต่ผมจะไม่หยุดเดินจนกว่ามันจะเกิดขึ้น

ดังนั้นก็ใช่เลย ตอนที่เอเยนต์ของผมโทรมาหาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และบอกผมว่ายูไนเต็ดต้องการตัวผม มันคือความฝันที่กลายเป็นจริง

ผมจะไม่มีวันลืมเกมแรกของผมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ผมออกไปอบอุ่นร่างกาย และถ้าให้ผมพูดตรง ๆ ตอนนั้นสนามมีคนเข้ามาครึ่งหนึ่ง ผมคิดในใจว่า ‘โอเค… มันก็ปกติดีนะ’

เรากลับเข้าไปประชุมทีม และก้าวเท้าเดินออกจากอุโมงค์อีกครั้ง มันเหมือนกับเวทมนตร์ ผมได้ยินเสียงกึกก้อง เสียงประมาณว่า “Hhhhhhhrrrrrrrrrrrrrrrrr.”

เดินออกจากอุโมงค์ครั้งแรก ผมนี่ขนลุกไปหมด ทุกอย่างมันยิ่งใหญ่เกินกว่าความฝันของคุณ ผมมั่นใจว่าพวกคุณได้เห็นวิดีโอกันไปแล้ว แต่ผมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่ามาสค็อตตัวน้อย ๆ รู้สึกอย่างไร เวลาที่พวกเขาท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ก่อนเกมเอฟเอ คัพกับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ พวกคุณจำได้ไหม? เรายืนกันอยู่ในอุโมงค์รอที่จะก้าวเดินออกไป และผมเห็นเด็กผู้ชายตัวน้อยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาร้องไห้ ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขากำลังเศร้า เขาแค่สติหลุดจากออร่าของโอลด์ แทรฟฟอร์ด สำหรับผมในฐานะคนเป็นพ่อ ผมเข้าใจอย่างดีเลยละ ผมเคยเห็นสีหน้าแบบนี้จากลูกชายของผม เขาไม่อยากขยับตัว ผมเลยพูดกับเขาว่า “เฮ้ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวจับมือพี่แล้วเราเดินไปด้วยกัน” แต่เขาก็ยังแข็งทื่อ! ผมก็เลยอุ้มเขาขึ้นมาและเดินออกจากอุโมงค์ไปด้วยกัน นั่นคือช่วงเวลาที่คุณจะไม่มีวันลืม เสียง “Hhhhhhhrrrrrrrraaahhhhhh” และภาพของแฟนบอล

ตั้งแต่เกมแรก พวกคุณโอบรับเด็กใหม่ที่ย้ายมาจากโปรตุเกส เรียนตามตรงนะ ผมโฟกัสสุด ๆ จนทำให้ทุกอย่างมันเงียบกริบเมื่อเราเริ่มแข่งขันกัน ทุกอย่างที่ผมคิดอยู่ในหัวคือ:

นายไม่มีเวลาปรับตัวที่นี่ นายคือนักเตะของแมนฯ ยูไนเต็ด หรือไม่นายก็ไม่เป็นแบบนั้น นายต้องแสดงมันออกมา

ผมจำได้ตอนที่ผมกลับเข้าห้องแต่งตัวหลังจบเกม ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาและพี่ชายของผมก็ส่งข้อความมาหา ผมนี่ประหม่าว่าเขาจะบอกอะไร เพราะถ้าคุณรู้จักพ่อกับพี่ชายของผม (และอันนาเมียผมด้วย!) พวกเขาไม่เคยยั้งเรื่องการวิจารณ์ แต่ครั้งนี้มันเป็นแค่ข้อความว่า:

ได้ยินเพลงหรือเปล่า?!?!

ผมไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร

ผมตอบกลับไปว่า:

ฮะ? เพลงอะไรนะ?

ในสนามไง!!! เพลงของนาย!!!

พวกเขาแต่งเพลงให้นาย!!!!!

แล้วเขาก็ส่งวิดีโอมา และผมก็เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร คนทุกคนที่ไปหาเครื่องดื่มที่บาร์ตอนพักครึ่ง ร้องเพลงให้กับผม ผมเพิ่งจะเซ็นสัญญาเมื่อ 3 วันที่แล้วเองนะ! ผมได้แต่คิดในใจ

พวกเขาจะรู้ได้ไงว่าผมเก่งแค่ไหน? YouTube เหรอ? ใน YouTube ทุกคนก็ดูดีหมดแหละ! พวกเขาแต่งเนื้อเพลงในเวลา 4 วันได้ยังไงกัน???

มันจะมีผู้คนที่ไม่ชอบการเล่นฟุตบอลของคุณอยู่แล้ว แต่ว่าพวกคุณ 99% แสดงแต่ความรักออกมาให้ผม จนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่ผมเห็นผู้คนที่อยู่อีกซีกโลกสวมเสื้อของผม มันมอบความรู้สึกที่พิเศษให้กับผมมาก ผู้คนส่งภาพให้ผมจากฮ่องกง หรือไนจีเรีย พวกเขาสวมเสื้อเบอร์ 8 ของผม และทุก ๆ ครั้งที่ได้เห็น มันทำให้ผมรู้สึกเซอไพรส์และดีใจมาก ๆ

ซัมเมอร์ที่แล้ว ตอนที่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตัน ผมจำได้ว่าผมกลับบ้านมาหาอันนา และบอกเธอว่า “วันนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น… ฉันอธิบายไม่ถูกด้วยซ้ำ”

เธอถามว่า “อะไรล่ะ?”

ผมตอบว่า “บางอย่างที่ฉันไม่เคยฝันด้วยซ้ำ ได้กลายเป็นความจริง”

ในฐานะกัปตัน ที่ผมทำง่าย ๆ คือพยายามเป็นบรูโน่ ไม่ใช่เป็นตำนาน หรือสร้างแคแร็กเตอร์ ผมแค่เป็นตัวเอง เป็นบรูโน่คนเดิมทั้งในและนอกสนาม สำหรับผม ความซื่อสัตย์คือทุกอย่าง แฟนบอลอย่างพวกคุณคู่ควรกับความซื่อตรงกับแนวทางที่พวกคุณได้สนับสนุนพวกเรา

ความผิดหวัง

นั่นคือความรู้สึกของพวกเราทุกคนไม่ใช่เหรอ? นั่นคือคำเดียวสำหรับฤดูกาลนี้ ผมคิดว่าถ้าคุณถามผม หรือถามแฟนบอลยูไนเต็ดคนไหน มันก็คงเป็นเหมือนกัน

มันมีหลายโมเม้นต์ที่พวกเราเอาชนะในเกมสุดสำคัญ และความรู้สึกมันก็ประมาณว่า

โอเค ตอนนี้เราต้องต่อยอดจากสิ่งนี้…

และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทุกอย่างมันไม่เคยลงตัวอย่างเต็มรูปแบบสำหรับเรา พวกเราไม่สม่ำเสมอมากพอ และเราต้องเล่นให้ดีกว่านี้ เพื่อพวกเราเอง เพื่อสโมสร และเพื่อแฟนบอลของเรา

แฟนบอลที่ตามไปให้กำลังใจพวกเราคือสุดยอดมาก พวกคุณทุกคนได้เห็นแล้วที่เซลเฮิร์สต์ พาร์ค ตอนที่พวกเราแพ้ 4-0 แฟนของเรายืนอยู่ตรงนั้น และร้องเพลงกันตลอดทั้งเกม ผมไม่ได้ลงเล่นเพราะบาดเจ็บ และผมได้แต่นั่งดูอยู่ที่บ้าน ซึ่งมันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า (ขอโทษภรรยาและลูก ๆ ของผมด้วย) ผมได้ยินเสียงแฟนบอลร้องเพลง ซึ่งมันทำให้ผมหวังว่าผมจะสามารถไปอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่หน้าพวกเขาและปรบมือกลับไปให้พวกเขา จากทุกเรื่องห่วย ๆ ที่พวกเราผ่านกันมา กับอาการบาดเจ็บและความผิดหวัง แฟนบอลของเราไม่เคยหยุดที่จะมอบทุกอย่างให้กับเรา

หลังจากฤดูกาลที่ยากลำบากนี้ มันคือความรับผิดชอบของผมที่จะต้องทุ่มเทให้มากขึ้น มันเริ่มจากตัวผม และเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราต้องทุ่มเททุกอย่างในเกมสุดท้ายกับซิตี้ และเราต้องเดินไปข้างหน้า

ผมรักการได้ย่างเท้าลงที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดมากกว่าทุกอย่างในโลก ผมไม่อยากย้ายทีม นี่คือความฝันสูงสุดของผมมาเสมอ

ผมแค่อยากให้ความคาดหวังของผม สอดคล้องกับความคาดหวังของสโมสร หากคุณไปคุยกับแฟนบอล พวกเขาจะบอกคุณแบบเดียวกัน เราอยากลงแข่งขันเพื่อแชมป์ลีก เราอยากจะลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก เราอยากผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศบอลถ้วย นี่คือมาตรฐาน นี่คือสิ่งที่เราต้องการ นี่คือสิ่งที่พวกคุณทุกคนสมควรได้รับ

ผมแค่ต้องการสู้ต่อไป ผมอยากอยู่ที่นี่ ครอบครัวของผมต้องการอยู่ที่นี่ หากคุณสงสัยสักนิดหนึ่ง คุณต้องไปดู Spotify Wrapped ซึ่งมันจะพิสูจน์ให้คุณได้เห็น…

ตอนที่ผมย้ายมาที่นี่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มาทิลด์ ลูกสาวของผมอายุแค่ 3 ขวบ

กอนซาโล่ ลูกชายของผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

มาทิลด์ เธอเคยชอบฟุตบอล เธอคือเหตุผลที่ผมทำท่าฉลองประตู “ฉันไม่ได้ยิน” เพราะทุกครั้งที่เราขอให้เธอเก็บของเล่นดี ๆ เธอจะยกมือป้องหูและพูดว่า “อะไรนะ? หนูไม่ได้ยินค่ะพ่อ หนูไม่ได้ยินนนนนน”

เมื่อไรก็ตามที่ผมลืมทำท่าฉลองประตูแบบนี้ เธอจะบ่นผมไม่หยุด

“ทำไมพ่อไม่ทำล่ะคะ? พ่อลืมหนูแล้ว!”

เธอดูผมลงสนามทุกนัด

เวลามันผ่านไปเร็วมาก เพราะตอนนี้ผมมีลูกสาวอายุ 7 ขวบที่ไม่สนใจฟุตบอลเลยสักนิด ตอนนี้เธออยากเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ และอยากเป็นนักยิมนาสติกโอลิมปิก และผมก็มีลูกชายวัย 3 ขวบ ที่ไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเตะลูกบอลอันเล็กไปทั่วบ้าน เขาตั้งเป้า 5 อัน เตะบอลใส่ แล้วก็ไปตั้งเตะใหม่อีกครั้ง

สิ่งเดียวที่ทั้งสองคนเห็นตรงกันคือเพลงที่เราต้องเปิด เวลาขับรถพาพวกเขาไปส่งที่โรงเรียนในตอนเช้า มันเป็นเพลงเดิมเสมอ

ลูกชายของผม เขาแทบจะร้องไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาพึมพำคำศัพท์แล้วก็ผสมมันด้วยกัน แต่ถือว่าเขาเริ่มต้นได้ดีมาก

ลองนึกภาพเด็ก 3 ขวบ ร้องเพลงสุดเสียงในตอน 8 โมงเช้าจากเบาะหลังสิ….

Glory, glory Man United!

Glory, glory Man United!

Glory, glory Man United!

As the Reds go marching on, on, ON!!!! (เขาชอบท่อนนี้)

จากนั้นลูกสาวของผมรับช่วงต่อ…

We’re the boys in red!

And we’re on our way to Wembley!!!

Wembley, Wembley!!!!!

ทุกวันตอน 8 โมงเช้า…

ดังนั้น ต่อลูก ๆ และต่อแฟนบอลยูไนเต็ดทั่วโลก ผมอยากจะบอกว่า:

ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย ผมรู้ว่ามันไม่ได้ตามมาตรฐานของเรา

แต่เรากำลังไปสู่เวมบลีย์

หนุนหลังพวกเราอีกครั้งนะ

กัปตันของคุณ,

บรูโน่ แฟร์นานเดส”

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: